วางแผนซื้อ LTF/RMF แต่ต้นปี “ดี” ต่อเงินอย่างไร

เป็นเรื่องสามัญประจำปลายปีสำหรับมนุษย์เงินเดือนและคนมีรายได้ที่มักจะมึนงงกับการวางแผนลดหย่อนภาษี หลายคนจัดหนักเอาเงินโบนัสเพื่อนำมาซื้อก้อนเดียวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี และทำให้คำถามเหล่านี้กลายเป็นกระทู้ยอดฮิตในโลกโซเชียล เช่น ปีนี้ซื้อ LTF/RMF ตัวไหนดี? กองทุนแบบปันผลกับไม่มีปันผลควรเลือกแบบไหน? กองทุน LTF ต้องถือขั้นต่ำตั้ง 7 ปีปฏิทิน ยังน่าลงทุนอยู่มั้ย? ได้คำตอบกันคร่าวๆ กันแล้วก็เทเงินซื้อหรือลงทุนโดยไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับกองทุนตัวนั้นสักเท่าไหร่

เอาล่ะ ปีนี้ลองมาปรับเปลี่ยนวิถีลงทุนให้ ดี กับชีวิต ทำได้ง่าย ไม่ต้องรีบร้อน ได้เห็นเงินงอกเงยมาให้ชุ่มชื่นใจ แถมยังลดหย่อนภาษีประจำปีได้อีกด้วย วิธีที่ว่าคือ การทยอยซื้อ LTF/RMF ตั้งแต่ต้นปีไปเรื่อยๆ ตลอดปี ด้วยการแบ่งเงินเพื่อลงทุนเป็นประจำทุกๆ เดือน ซึ่งเทคนิคนี้เรียกว่า Dollar Cost Averaging หรือ DCA ซึ่งจะช่วยเฉลี่ยราคาต้นทุน เพื่อรับมือกับตลาดที่มีความผันผวน นอกจากนี้ ยังใช้เทคนิค DCA ควบคู่กับการทำ Market timing หรือการรอดูจังหวะของตลาด และลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในขาลง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนมีความเสี่ยงน้อยกว่าการทุ่มซื้อเป็นก้อนในครั้งเดียว (แบบที่คนส่วนใหญ่ทำ)

สำหรับคนที่สนใจลงทุนแบบ DCA วิธีที่อยากจะแนะนำก็คือการเลือกตัดเงินจากบัญชีเงินฝาก หรือตัดผ่านบัตรเครดิตเพื่อซื้อ LTF/RMF ไปเลยก็ได้ อย่างเช่นบริการ K- Saving Plan ของธนาคารกสิกรไทย เริ่มต้นเบาๆ ลงทุนได้ตั้งแต่ 500 บาทต่อเดือน ทำไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี ได้ทั้งเงินที่มีโอกาสงอกเงย และลดหย่อนภาษีได้อีก

ความดีงามของวิธี Dollar Cost Averaging หรือ DCA คือ

  • ดี ที่ทำให้มีเวลาวางแผนลงทุนได้ทั้งปี ออกตัวเบาๆ ด้วยการแบ่งเงินลงทุนเป็นประจำทุกๆ เดือน เริ่มต้นแค่ 500 บาทก็ลงทุนได้แล้ว ไม่ต้องโหมเงินไปจัดหนักตอนปลายปี
  • ดี ที่มีโอกาสได้เฉลี่ยราคาซื้อกองทุนบางเดือนอาจจะได้ซื้อตอนราคาปรับตัวลงมาไม่ต้องไปลุ้นว่าจะได้ราคาถูกหรือแพงตอนปลายปี
  • ดี ที่มีโอกาสได้รับเงินปันผลระหว่างปีในกรณีที่ลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายจ่ายปันผลเมื่อมีกำไรอีกด้วย

อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าใครมองเห็นโอกาสและข้อได้เปรียบในการลงทุนตั้งแต่ต้นปีนี้แล้ว แต่ยังลังเลไม่รู้ว่าจะซื้อ LTF/RMF ตัวไหนดี ไม่ต้องเสียเวลาไปตั้งกระทู้ถามใครที่ไหน เราได้คัดมาแล้วว่าดีตรงนี้ 2 ตัวเน้นๆ

1. กองทุน K 20 Select LTF (K20SLTF)

เมื่อดูผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี และ 3 ปี นั้นกองทุนนี้ให้ผลตอบแทนที่ 18.36% ต่อปี และ 12.48% ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 30 .. 59) ซึ่งผลตอบแทนนี้เป็นผลจากการใช้กลยุทธ์คัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นไม่เกิน 20 ตัว โดยเน้นการลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลซึ่งจะยังเป็นปัจจัยบวกได้ในระยะกลางระยะยาว

1_kasikornltfrmf

รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นหุ้นที่ระดับราคายังไม่แพงแต่มีแนวโน้มเติบโตที่ดี และยังพิจารณาถึงปัจจัยบวกที่มีผลกระทบทั้งระยะสั้นและยาวควบคู่กันไปเพื่อให้แนวโน้มผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนที่ดีและมีเสถียรภาพในแต่ละช่วงเวลา

2. กองทุน K Mid Small Cap Equity RMF (KMSRMF)

ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนและ 1 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 17.99 % และ 30.55% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 30 .. 59) โดยเอาชนะหุ้นขนาดใหญ่ และ SET Index ซึ่งอยู่ที่ 19.73% กองทุนนี้เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาทโดยเน้นคัดเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตดีและมีโอกาสเติบโตเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในอนาคตรวมถึงพิจารณาธุรกิจที่มีการเติบโตของกำไรแบบก้าวกระโดดผู้บริหารมีวิสัยทัศน์และมีแนวโน้มสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

2_kasikornltfrmf

ในช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นมีการปรับตัวผันผวนมาก จากปัจจัยทั้งภายในและนอกประเทศ แต่ทั้ง 2 กองทุน K20SLTF และ KMSRMF กลับสร้างผลตอบแทนโดดเด่นได้ นั่นก็เป็นเพราะเทคนิคการคัดเลือกหลักทรัพย์ (Selective)ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ เน้นลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ และหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีแนวโน้มที่ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหุ้นไทยโดยรวม

สนใจลงทุนกับกองทุน LTF/RMF กสิกรไทย เริ่มต้นเพียง 500 บาท ซื้อง่ายผ่าน K-Mobile Banking PLUS, บริการ K-Cyber Invest และที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา

ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.kasikornasset.com/Pages/LTF-RMF.aspx