เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง เผยผลประกอบการโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมเตรียมลุยขยายฐานเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ชู mySTAR เป็นผลิตภัณฑ์เรือธง ตลอดปี 2560

 

  • กลุ่มบริษัท เดมเลอร์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส เอจี ในปีที่ผ่านมาปล่อยสินเชื่อใหม่มากกว่า 6 หมื่นล้านยูโร มูลค่าสินเชื่อรวมกว่า 132,000 ล้านยูโร เติบโตขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
  • เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง เผยผลประกอบการโตขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ด้วยยอดสินเชื่อที่มากขึ้นกว่า ปี 2555 ถึง 2 เท่า ถึงแม้ว่าภาพรวมตลาดจะชะลอตัวลง
  • ตอกย้ำกลยุทธ์ THE BEST ทั้งในด้าน Best Product and Campaign ชู mySTAR เป็นผลิตภัณฑ์หลัก (Product hero) และ Best Dealer and Customer touchpoints ต่อยอดดิจิตัล แพลทฟอร์ม เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานในแอพพลิเคชั่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และการเป็น Best Employer

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด แถลงผลประกอบการ ปี 2559เติบโตติดต่อกันเป็นปีที่ 5 ด้วยยอดสินเชื่อรถยนต์โตขึ้นกว่า 2 เท่า จากปี 2555 พร้อมเน้นกลยุทธ์“THE BEST” เพื่อมอบผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ และลูกค้ารายย่อย เพื่อคงความเป็นผู้นำอันดับหนึ่ง (First-choice provider) ในการให้บริการสินเชื่อที่หลากหลายและครบวงจร (One-stop financial service solution) ในตลาด

คุณศุภวุฒิ จิรมนัสนาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับผลประกอบการของกลุ่มบริษัท เดมเลอร์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส เอจี ในปีที่ผ่านมาปล่อยสินเชื่อใหม่มากกว่า 6 หมื่นล้านยูโร ซึ่งสำหรับบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์  ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) ยังคงผลประกอบการโตขึ้นต่อเนื่อง ทั้งในด้านการปล่อยสินเชื่อใหม่และมูลค่าสินเชื่อรวม ถึงแม้ว่าภาพรวมตลาดจะชะลอตัวลง ในขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก เนื่องจากลูกค้าเป็นลูกค้าที่มีคุณภาพ”

“ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและครอบคลุมทุกเงื่อนไขทางการเงินตามที่ลูกค้าต้องการ รวมทั้งการนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจร (one-stop financial service solution) ครอบคลุมลูกค้าทุกเซกเมนต์ ตอบโจทย์   ไลฟ์สไตล์และความต้องการของทั้งลูกค้าเก่าและใหม่ โดยจะเห็นได้จากผลสำรวจของบริษัท เดอะนีลเส็น คอมปะนี ที่เผยว่าทั้งลูกค้า และผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการให้ความพึงพอใจในบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินของบริษัทฯ เป็นอันดับหนึ่ง พร้อมด้วยเรื่องความรวดเร็วในการพิจารณาและอนุมัติปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้า ที่นับเป็นปัจจัยในความสำเร็จนี้ด้วยเช่นกัน”

คุณศุภวุฒิ กล่าวเสริมว่า “ประกอบกับโปรแกรม ‘mySTAR Special’ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้ากลุ่มยังก์เจเนอเรชั่น เนื่องจากการนำเสนอค่าเช่าต่อเดือนเพียง 1% ของราคาเต็มรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมถึงการเป็นผู้เสนอสินเชื่อที่ให้ลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถเลือกเงื่อนไขทางการเงินได้ตามต้องการ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจของบริษัท เดอะนีลเส็น คอมปะนี ในปีที่ผ่านมา พบว่ามีลูกค้าที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ mySTAR กว่า 75% ได้ตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ แทนรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น ซึ่ง ณ ปัจจุบันมากกว่า 10% ของยอดขายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทำสัญญาสินเชื่อกับโปรแกรม mySTAR”

คุณไมเคิล บราวน์ กรรมการบริหารฝ่ายขายและการตลาด กล่าวเสริมว่า “ในปีนี้ เพื่อทำให้บริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรายังคงเน้นกลยุทธ์และแผนการตลาด “THE BEST” ผ่านการนำเสนอสินเชื่อรถยนต์นั่งส่วนบุคคลสำหรับลูกค้ารายย่อย สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์สำหรับผู้จัดจำหน่ายรถบรรทุก และลูกค้า Fleet สินเชื่อเพื่อผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ (ดีลเลอร์) พร้อมชูจุดแข็งผลิตภัณฑ์ mySTAR โปรแกรมทางการเงินที่ทำให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ง่ายขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดสินเชื่อรถยนต์ส่วนบุคคล พร้อมนำเสนอทางเลือก 3 แบบ(3R) เมื่อสิ้นสุดสัญญา คือ การคืนรถให้กับบริษัทฯ (Return) หรือ การเลือกจ่ายเงินจำนวนที่เหลือทั้งหมด แล้วเป็นเจ้าของรถ (Retain) หรือ เลือกที่จะรีไฟแนนซ์แล้วผ่อนชำระต่อ (Refinance) ซึ่งกลยุทธ์ในปีนี้ ทางบริษัทฯ จะให้ความสำคัญในการให้ลูกค้าเลือกข้อเสนอในการคืนรถ (Return) เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์มือสอง พร้อมทั้งกระตุ้นตลาดสินเชื่อรถยนต์ผ่านการที่ลูกค้าเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่อีกด้วย

นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ยังคงเน้นการรักษาฐานลูกค้าปัจจุบันให้คงอยู่กับครอบครัว เมอร์เซเดส-เบนซ์ตลอดไป พร้อมทั้งยังคงให้ความสำคัญกับแผนประกันภัย Mercedes-Benz Protection ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากในปีที่แล้วมีลูกค้าใช้บริการผลิตภัณฑ์นี้เป็นจำนวน 7 ใน10 ของลูกค้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั้งหมด โดยผลิตภัณฑ์นี้จะมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า ด้วยการคุ้มครองค่าเสียหายของรถยนต์สูงสุด 100% ของราคารถยนต์ คุ้มครองยางและล้อ 100% โดยไม่หักค่าเสื่อม รวมถึงสิทธิ์ในการใช้รถยนต์ทดแทนเมอร์เซเดส-เบนซ์ สูงสุดถึง 20 วันต่อปี ในกรณีที่รถยนต์ของลูกค้าเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมากกว่า 48 ชั่วโมง โดยลูกค้าที่สนใจสามารถคำนวณค่าเบี้ยประกันภัยผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ mySTAR (http://mystar.mercedes-benz.co.th/) เพื่อประกอบการตัดสินใจและเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าอีกด้วย

ในด้านของ “Best Dealer and Customer touchpoints” ในปีนี้ทางบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอการบริการที่ดีที่สุดให้กับทั้งดีลเลอร์และลูกค้า โดยให้บริการเสริมในรูปแบบดิจิตอล ทัชพ้อยท์(Digital Touchpoints) ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่ดีที่สุดแก่กลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเสริมฟังก์ชั่นการใช้งานให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและดีลเลอร์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ‘Dealer Touchpoint (DTP)’ บริการเสริมในรูปแบบแอพพลิเคชั่นบนมือถือ ที่จะช่วยให้ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการสามารถทำธุรกิจได้ทุกที่ทุกเวลาบนทุกอุปกรณ์ ‘myBUSINESS Application’ แอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือสำหรับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เพื่อให้ทราบถึงผลประกอบการของตนเอง และ ‘myMBFS’ แอพพลิเคชั่นสำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจหรือต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ให้สามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลรถยนต์ทุกรุ่นที่จัดจำหน่ายในปัจจุบัน จนถึงโปรโมชั่นต่างๆ พร้อมทดลองคำนวณค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระหรือเช่าซื้อได้ด้วยตนเอง โดยในปัจจุบัน ลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่งมากกว่า 25% ได้ลงทะเบียนใช้งานระบบบริการข้อมูลลูกค้าออนไลน์ รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าตลอดระยะเวลาสินเชื่อ พร้อมเพิ่มจำนวนการจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับทั้งผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และลูกค้ารายย่อยอย่างต่อเนื่องทุกเดือน โดยแต่ละกิจกรรมนั้นได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษสำหรับลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง เท่านั้น อาทิ กิจกรรม “The Art of Leather Workshop” ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นต้น

“และสิ่งสำคัญที่สุด คือ Best Employer โดยบริษัทฯ มุ่งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล เพื่อเพิ่มความรู้ ความสามารถและทักษะการทำงานของพนักงาน พร้อมทั้งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีพื้นฐานจากความเชื่อใจ ความเคารพซึ่งกันและกัน ความเป็นมิตร ความโปร่งใสในการทำงาน รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จไปพร้อมกัน เพื่อเป้าหมายในการเป็นบริษัทที่น่าทำงานที่สุด โดยล่าสุดในปี 2016 กลุ่มบริษัท เดมเลอร์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส เอจี ได้รับการจัดอันดับเป็นบริษัทระดับโลกที่น่าทำงานที่สุด (The Great Place to Work) เป็นอันดับที่ 5 จาก 25 ที่ได้รับรางวัลจาก Great Place to Work Institute ซึ่งบริษัทฯ ถือเป็นบริษัทสัญชาติเยอรมันรายแรกและรายเดียวที่ได้รางวัลดังกล่าว” คุณไมเคิล กล่าวปิดท้าย