พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เปิดงาน ‘SME Revolution: เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ ดัน SME ไทยเติบโตตามแผนงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจแนวประชารัฐสู่ Thailand 4.0

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เปิดงาน ‘SME REVOLUTION : เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพดึงเหล่าพันธมิตร อาทิ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) และอีกมาก ร่วมผลักดันช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่เศรษฐกิจยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่กำลังเกิดขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลตามกรอบแนวทาง “ขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0”

โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีฯ กล่าวถึงการจัดงานว่า “การจัดงาน SME REVOLUTION : เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0 ในวันนี้ นับเป็นการแสดงพลังประชารัฐเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นที่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก คือ เรื่อง การส่งเสริมพัฒนาเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายหลักของรัฐบาลชุดนี้ นั่นก็คือ “Thailand 4.0” ผมดีใจที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันทำงานโดยแปลงนโยบายมาสู่การขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน มีกลไก มาตรการต่างๆ ที่จับต้องได้ และสามารถช่วยเหลือ SME ได้อย่างแท้จริง มีการนำผลงานเด่น ผลงานเชิงนวัตกรรมมาจัดแสดงเพื่อเป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าชมงานเห็นความสำคัญ เป็นการจุดประกายพลัง สร้างสรรค์ให้กับกลุ่มธุรกิจ SMEs เกิดแรงบันดาลใจในการพัฒนาธุรกิจของตนเอง เป็นการสร้างโอกาสให้กับ SME ทั้งหลายที่เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลชุดปัจจุบันพยายามสร้างความสมดุลโดยมุ่งพัฒนาประเทศในทุกภาคส่วน ทั้งภาคการเกษตร ภาคการค้าบริการ และภาคอุตสาหกรรม หลังจากประเทศประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ขนาดของช่องว่างระหว่างเมืองและชนบท เกิดปัญหา รวยกระจุก จนกระจาย ทำให้ชนบทของไทยอ่อนแอ ประเทศสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน ขาดสมดุลทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่เล็ก ทรัพยากรมีน้อยและจำกัด รัฐบาลจำเป็นต้องดูแลทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึง ทั้งการส่งเสริมพัฒนาภาคเกษตรซึ่งมีเกษตรกรอยู่เป็นจำนวนมากกว่า 20 ล้านคน ในขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมพัฒนาภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นภาคที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตผลต่างๆ และที่สำคัญคือต้องดูแลกลุ่ม SMEs กว่า 3 ล้านรายซึ่งเป็นวิสาหกิจส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องดำรงอยู่ได้ เติบโต และแข็งแกร่งไปด้วยกัน เพื่อจะนำพาประเทศให้ก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง หรือ Middle Income Trap ให้เกิดการกระจายรายได้และผลประโยชน์อย่างทั่วถึง

นโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น (Local Economy)

ในปีนี้จึงถือเป็นปีแรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับงบประมาณกลุ่มจังหวัดและให้ความสำคัญกับแผนพัฒนาระดับจังหวัดมากขึ้น โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ผลักดันงบประมาณกลางปี 2560 ในวงเงิน 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งงบประมาณส่วนใหญ่จัดสรรสำหรับโครงการแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดจำนวน 6.3 หมื่นล้านบาท โดยโครงการพัฒนากลุ่มจังหวัด เป็นโครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ในประเด็นยุทธศาสตร์จังหวัดและยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัดที่จะนำมาใช้สนับสนุนเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญ นับเป็นการพัฒนาจากล่างขึ้นบนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ยังผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างผลิตภัณฑ์ชุมชนซึ่งแฝงไว้ด้วยศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น กับการท่องเที่ยวตามโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village) หรือ CIV โดยผลักดันให้ภาคส่วนต่างๆ ในหมู่บ้านร่วมกันจัดทำแผนธุรกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว ทำการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์โดยใช้ความสร้างสรรค์และเสน่ห์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการของชุมชนตามแนวประชารัฐด้วย

รัฐบาลคาดหวังว่างบประมาณดังกล่าวจะถูกใช้ไปเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์และศูนย์จำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนหรือ มีการจัดอบรม สัมมนา ฝึกอบรม พัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นการยกระดับผลิตภาพ คุณภาพ มาตรฐาน และนวัตกรรม ซึ่งในระยะยาวจะช่วยให้เศรษฐกิจท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง สร้างการพัฒนา การจ้างงาน ประชาชนมีศักยภาพในการใช้จ่ายทำให้เศรษฐกิจหมุนอีกครั้ง

กองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ

งบประมาณสำคัญที่ถูกจัดสรรเพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ จำนวน 20,000 ล้านบาทที่กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพ ที่จะเปิดตัวในงานนี้ เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนช่วยเหลือ SMEs ให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปสู่ SME 4.0 เป็นการจัดสรรงบประมาณให้เพิ่มเติมจากงบประมาณในการส่งเสริมพัฒนา SMEs ที่มีอยู่ปกติแล้ว โดยเกณฑ์การสนับสนุนสินเชื่อจะต้องมีเงื่อนไขที่ผ่อนปรน และเปิดโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำที่มากกว่าปกติ เป็นจุดกระตุ้นให้สถาบันการเงินกลับมาช่วยสนับสนุนเงินทุนแก่ SMEs ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว

ซึ่งในการนี้ ยังมีอีก 2 กองทุนสำคัญคือ การเปิดตัวกองทุนฟื้นฟู SME 2,000 ล้านบาท ของ สสว. มุ่งเน้นช่วยกลุ่ม SME ที่ประสบปัญหามีหนี้ค้างชำระ ชำระหนี้ไม่สม่ำเสมอประสบภาวะสภาพคล่องตึงตัว มีหนี้ที่เป็น NPL บ้าง แต่ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายนี้จะต้องผ่านการวินิจฉัยเชิงลึกเพื่อปรับปรุงแผนการดำเนินธุรกิจให้เรียบร้อย ก่อนที่จะได้รับการสนับสนุนในรูปแบบของเงินอุดหนุนที่ต้องชำระคืน รวมถึงโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (SME Transformation Loan) วงเงิน 15,000 ล้านบาทของ SME Bank ที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในด้านการเงิน กองทุนนี้จะถูกจัดสรรให้กับจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ในสัดส่วนตามศักยภาพทางเศรษฐกิจของแต่ละจังหวัด”

ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “ในส่วนของกิจกรรมตลอด 3 วันนี้ ผู้ร่วมงานจะได้พบกับการจัดแสดงพระราชกรณียกิจเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 10 ที่ส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจในระดับชุมชนผ่านโครงการต่าง, พื้นที่เปิดตัวกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐทุกกองทุน, พื้นที่ SME Solution บริการปรึกษาแนะนำ โดยมีศูนย์ Business Service Center : BSC, SME Academy และการสาธิตการใช้ Application ของ กสอ., บริการจากศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Thailand Industrial Design Center: Thai iDC), ศูนย์ Industry Transformation Center (ITC) ที่มีข้อมูลรองรับทุกอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็น อาหารเกษตรแปรรูป/ชีวภาพ เครื่องมือแพทย์-สุขภาพ ไฮเทค อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์และอีกมาก, นิทรรศการความรู้เกี่ยวกับมาตรการโครงการขับเคลื่อน SME ทั้งระบบ, รับคำปรึกษาจากบูธองค์กรพันธมิตร และเครื่องมือพัฒนาฟื้นฟู SME, สัมมนาทางด้านการทำการตลาด StartUp และ Fintech, นวัตกรรมและไอเดียต้นแบบที่ต่อยอดธุรกิจ SME, ตื่นตาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจาก 9 โครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village – CIV) 9 ชุมชนที่ชาวบ้านได้ร่วมกันจัดทำแผนธุรกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว โดยใช้ความสร้างสรรค์และเสน่ห์ของภูมิปัญญาท้องถิ่นผสานเข้าไว้ด้วยกัน

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงการส่งเสริมและพัฒนาตามแนว Smart Farmer โดย สสว. และ พื้นที่เกษตรอินทรีย์สากลของ กสอ. เช่น ชาลำไย ชาลิ้นจี่ กาแฟออร์แกนิค เป็นต้น, สินค้าจากผู้ประกอบการ SME และ OTOP มากมาย รวมถึงการแสดงผลงานแฟชั่นโชว์ “6 แบรนด์ SME ไทยสู่ตลาดโลก” จาก Justino (จัสติโน) J.niche’ (เจนิช) GU:G (กูจี) Surreal Objects Ek Thongprasert และ ITTHIKORN