ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความฮือฮาไม่น้อยในช่วงนี้ สำหรับการประกาศร่วมทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมขนาดใหญ่ (Mixed-Use) มูลค่าโครงการกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท บนพื้นที่ 24 ไร่ บริเวณถนนสีลมและถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ระหว่าง บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กับบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ด้วยสัดส่วน 60:40 เพราะคล้อยหลังเพียงไม่กี่วันกลับมีกระแส “ทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์” กันหนาหูสนั่นเมืองว่า “โปรเจกต์นี้อาจมีการเลย์ออฟพนักงานโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ที่มีกว่า 600 คน ทำเอาพนักงานผวากันไปพักใหญ่
ร้อนถึง “สุกัญญา จันทร์ชู” ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ต้องร่อนแถลงการณ์ย้ำว่า “ไม่มีแผนดังกล่าวแต่อย่างใด” เพราะหลังจากที่จะมีการรื้อถอนโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. 61 แล้ว พนักงานทุกคนยังจะมีงานทำเหมือนเดิมแต่จะกระจายไปทำงานยังส่วนต่างๆ ที่สำคัญการปิดโรงแรมฯ เพื่อการรื้อถอนและลงทุนใหม่ครั้งนี้ บริษัทฯ มีการจัดเตรียมเงินทุนสำรองเพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนให้พนักงานทุกคนตามปรกติ โดยคาดว่าโครงการใหม่ซึ่งยังคงมีส่วนของโรงแรมรวมอยู่ด้วยนั้นจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จได้ภายในปี 2565 โดยจะยังคงรักษาระดับราคาตามมาตรฐาน 5 ดาวเช่นเดิม
แต่ในช่วงปิดโรงแรมฯ เพื่อก่อสร้างโครงการใหม่นั้น โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ มีแผนการรักษาแบรนด์ให้เป็นที่จดจำของลูกค้าในส่วนของร้านอาหารต่างๆ ทั้งร้านอาหารไทย “เบญรงค์” ร้านอาหารจีน “เดอะ เมย์ฟลาวเวอร์” ร้านอาหารญี่ปุ่น “โชกุน” ร้านอาหารเวียดนาม “เธียนดอง” และร้านขนมหวาน–ขนมอบ–ช็อกโกแล็ต “ดุสิต กูร์เมต์” เพราะปัจจุบันโรงแรมฯ มีรายได้จาก F&B รวมการจัดเลี้ยงสูงถึง 45% เมื่อเทียบกับรายได้จากห้องพัก 55% ส่วนสถานที่ที่จะเปิดให้บริการจะเน้นในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไปมิได้จำกัดแต่เพียง “เซ็นทรัล” เท่านั้น
ที่สำคัญในช่วงการก่อสร้างโครงการใหม่ที่จะใช้เวลาประมาณ 4 ปี คาดว่าโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ จะสูญเสียรายได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งหากคิดเฉลี่ยง่ายๆ จากรายได้ต่อปีประมาณ 900 ล้านบาทที่ผู้บริหารบอกนั้น ก็จะตกประมาณ 3.6 พันล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับผลที่จะได้รับกลับคืนในอนาคต เมื่อโครงการแล้วเสร็จ มากกว่ากันหลายสิบเท่า เพราะไม่ได้มีแค่โรงแรม แต่เป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่มีทั้งโรงแรม ที่พักอาศัย ศูนย์การค้า อาคารสำนักงานพรีเมียม
อย่างนี้เรียกว่า เสียน้อยได้มาก
ที่มา : http://astv.mobi/AKEEohV