สนมั้ย ? กระทรวงดีอี หาคนเก่งค่าตัวสูงสุด 2 แสนบาท

กระทรวงดีอี เตรียมขอกำลังพลเพิ่ม 100 อัตรา อัดฐานเงินเดือนจูงใจสูงสุด 218,400 บาท ในลักษณะพนักงานอัตราจ้างทำสัญญา 4 ปี

พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างกระทรวงดีอีว่า ได้มีการหารือกับ นางเมธินี เทพมณี เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ถึงการขอกำลังพลในส่วนที่ขาดหายไปของกระทรวงดีอี ภายหลังปรับเปลี่ยนมาจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)

กระทรวงดีอีได้ร้องขอไปจำนวนทั้งสิ้น 100 อัตรา ภายในปี 2560 เพื่อเสริมอาวุธในการทำงาน พร้อมกับเสนอขึ้นเงินเดือนในอัตราที่สูงกว่าข้าราชการทั่วไป เพื่อเป็นการจูงใจบุคคลที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน เนื่องจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถส่วนใหญ่มักไม่เลือกทำงานกับหน่วยงานรัฐ เนื่องจากราชการมีฐานเงินเดือนจูงใจที่น้อยกว่าเอกชน

สำหรับฐานเงินเดือนของบุคลากรทั้ง 100 คน ประกอบด้วย ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ เงินเดือน 37,680-68,350 บาท, ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญทั่วไป เงินเดือน 109,200 บาท, ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญภายในประเทศ เงินเดือน 163,800 บาท และตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญระดับสากล เงินเดือน 218,400 บาท โดยทุกตำแหน่งจะมีการจ้างงานในลักษณะพนักงานอัตราจ้างทำสัญญา 4 ปี

จากนั้น จะมีการประเมินผลการปฏิบัติงาน (เคพีไอ) เพื่อพิจารณาต่อสัญญา รวมทั้งพนักงานในส่วนดังกล่าวทางกระทรวงดีอี จะมีสวัสดิการให้ในระดับเดียวกันกับบุคลากรขององค์การมหาชน สำหรับการสรรหานั้น เฉพาะตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจเท่านั้น ที่จะมีการเปิดการสรรหา ส่วนตำแหน่งอื่นจะสรรหาโดยวิธีการชักชวน หรือทาบทามบุคคลที่มีความสามารถในสาขาต่างๆ ที่ตรงกับความต้องการ และขอความร่วมมือมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้ช่วยสรรหาบุคลากรระดับหัวกระทิมาทำงานร่วมกับกระทรวงดีอี

ทั้งนี้ คุณสมบัติเบื้องต้นที่กระทรวงดีอีต้องการ คือ ต้องเป็นผู้ที่มีประวัติการทำงานดี เช่น เคยสอนหนังสือระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ หรือเคยทำงานองค์การนาซา เป็นต้น ซึ่งทางกระทรวงไม่จำกัดเรื่องของอายุหรือการทำงานปัจจุบัน อยู่ภาครัฐหรือเอกชน และในหรือนอกประเทศ

โดยบุคลากรที่สรรหาในครั้งนี้ จะนำมาดำเนินงานในภารกิจงานใน 2 ส่วนสำคัญ คือ 1.ฝ่ายกำกับดูแลฮาร์ดแวร์ เช่น การดูแลห้องวิจัยด้านดิจิตอลต่างๆ อาทิ ศูนย์พัฒนานวัตกรรมด้าน Internet of Things (IoT) หรือศูนย์จัดเก็บข้อมูล (ดาต้าเซ็นเตอร์) และ 2.ยังไม่มีศูนย์วิจัยและพัฒนาด้านดิจิตอลของตนเอง ทั้งที่เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญมาก

ที่มา : http://www.manager.co.th/CbizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9600000024944