ปี 2559 ที่ผ่านมาเรียกว่าเป็นปีทองของ “หัวเว่ย” อย่างแท้จริง แม้จะทำตลาดในไทยมานานกว่า19 ปีแล้ว แต่หลายคนยังไม่ค่อยเปิดรับเพราะด้วยภาพลักษณ์เป็นแบรนด์จากประเทศจีน ทำให้หัวเว่ยต้องกลับไปทำการบ้านพร้อมกับปีที่ผ่านมาเริ่มจับจุดผู้บริโภคได้ เริ่มทำการตลาดที่หนักขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่เป็นตลาดหลักที่หัวเว่ยให้ความสำคัญ มีการตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นที่ประเทศไทยเสียเลย ตั้งอยู่ที่อาคารจีพีเอฟ วิทยุ ทาวเวอร์ บี ชั้น 10-13
หนึ่งในคีย์สำคัญที่ทำให้หัวเว่ยเติบโต และขึ้นมาเขย่าบัลลังก์ตลาดสมาร์ทโฟนได้ต้องยกให้สมาร์ทโฟนรุ่น Huawei P9 ที่ได้เปิดตัวเมื่อปี 2559 ที่ผ่านการสร้างกระแสฮือฮาด้วยกลยุทธ์หลัก “แบรนด์ บิวท์ แบรนด์” เป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์กล้อง “ไลก้า” ชูความเป็น Camera Phone เป็นฟีเจอร์หลักที่คนใช้สมาร์ทโฟนในยุคนี้ การได้ไลก้าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์ลักชัวรี่ในวงการกล้อง ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของหัวเว่ยได้
แล้วมนต์การตลาดที่หัวเว่ยได้ร่ายก็เริ่มได้ผล เพราะด้วยพลังจากไลก้าก็เริ่มอัดผู้เล่นรายอื่นในตลาดน่วมเอาการอยู่ สามารถไต่ขึ้นมาครองตลาดสมาร์ทโฟนในไทยเป็นอันดับ 2 ได้ในแง่ของจำนวนการขาย ส่วนในแง่ของมูลค่าการขายเป็นที่ 3 ไปสู่ความท้าทายต่อไปที่หัวเว่ยได้ประกาศกร้าวตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในไทยให้ได้ภายในปี 2563
ภาพรวมของรายได้หัวเว่ยทั่วโลกในปีที่ผ่านมาเติบโต 35% มูลค่า 27,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในด้านของจำนวนการขาย 139 ล้านเครื่อง เติบโต 29% และมีส่วนแบ่งการตลาด 11.9% เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มี 9.9% โดยที่สมาร์ทโฟนรุ่น P9 มียอดจำหน่ายทั่วโลก 10 ล้านเครื่อง ประเทศไทยอยู่ใน 5 ประเทศที่ขายดีที่สุด
ทศพร นิษฐานนท์ รองผู้อำนวยการ หัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย บอกว่า “ตอนนี้ภาพลักษณ์ของหัวเว่ยเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคมากขึ้นแล้ว เพราะด้วยโปรดักต์ที่ดี ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค แต่โจทย์ต่อไปที่เป็นความท้าทายของหัวเว่ยในตอนนี้ก็คือทำอย่างไรให้คนรับรู้กว้างขึ้น ขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น”
จากความสำเร็จที่ทำให้หัวเว่ยแซงหน้าแบรนด์อื่นขึ้นไปได้นั้น มีปัจจัยหลัก 4 ข้อด้วยกัน
1. การสร้างแบรนด์ หัวเว่ยรู้ตัวว่าตนเองมีจุดอ่อนที่ภาพลักษณ์เพราะเป็นแบรนด์จากประเทศจีน จึงทำการอุดจุดอ่อนด้วยการเป็นพันธมิตรกับแบรนด์อื่นเพื่อช่วยสร้างแบรนด์ และสร้างการรับรู้ โดยการใช้ Partnership Marketing ที่เป็นแบรนด์ระดับโลกมาเป็นทางลัดในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักรวดเร็วยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาหัวเว่ยได้มีพาร์ตเนอร์มากมาย ได้แก่ Google, harman/kardon, intel, Microsoft, Audi, Swarovski, Porsche และที่สำคัญคือ Leica ความร่วมมือเป็นทั้งในเรื่องของการพัฒนาระบบและพัฒนาตัวสินค้าร่วมกัน
2. สินค้า สมาร์ทโฟนของหัวเว่ยในรุ่นที่เป็นแฟล็กชิพอย่างตระกูล P และ Mate ได้เริ่มนำมาเปรียบเทียบกับแบรนด์ใหญ่อย่างซังซุง และแอปเปิล ไฮไลต์ก็คือเรื่องกล้องถ่ายรูปที่เป็นเลนส์คู่ของไลก้า รวมถึงหัวเว่ยมีสินค้าในพอร์ตทุกเซ็กเมนต์อตนนี้มีรวม 10 รุ่น ระดับพรีเมียมใช้ตระกูล P และ Mate ราคา 15,000 บาทขึ้นไป ระดับกลางใช้ตระกูล GR ราคา 5,000-15,000 บาท และระดับล่าง ราคาต่ำกว่า 5,000 บาท มีตระกูล Y และแท็บเล็ต หัวเว่ยใช้กลยุทธ์ออกสินค้าที่อุดช่องว่างในตลาดที่แบรนด์อื่นไม่มีอย่าง สมาร์ทโฟน 4G จอใหญ่ ราคา 5,000 บาท สมาร์ทโฟนกล้องคู่ราคาหลักหมื่น และมีราคาที่ต่ำกว่าหมื่นด้วย เพื่อจับกลุ่มผู้บริโภคทุกกลุ่ม ถือว่าเป็นการท้าชน “ซัมซุง” อย่างเต็มตัว เพราะซัมซุงเองก็มีสินค้าในทุกเซ็กเมนต์
3. ช่องทางจัดจำหน่าย เป็นส่วนสำคัญที่เข้าถึงผู้บริโภค แต่เดิมหัวเว่ยมีช่องทางจัดจำหน่ายน้อย เมื่อต้นปี 2559 มีทั้งหมด 1,000 แห่ง แต่ได้เพิ่มสปีดจนปัจจุบันมีทั้งหมด 7,000 แห่ง เป็นทั้งโอเปอเรเตอร์ ร้านตู้ ร้านไอทีต่างๆ ตั้งเป้าในปีนี้เพิ่มขึ้นอีก 1,000 ห่ง รวมทั้งมีแบรนด์ช็อปของตนเอง 29 แห่ง ศูนย์บริการอีก 14 ศูนย์ และจุด Drop point ให้ส่งซ่อมสินค้าได้ 800 จุด
4. การตลาด มีการทำตลาดที่หนักขึ้น ทุ่มมากขึ้น หัวเว่ยใช้วิธีการสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคเข้าใจสินค้า และชื่นชอบสินค้า วางภาพลักษณ์ให้เป็น Global Brand มีการดึงดาราต่างประเทศมาช่วยสร้างแบรนด์ และมีพรีเซ็นเตอร์คนไทยเพื่อสื่อสารกับคนไทยด้วย และมีการขยายฐานให้กว้างขึ้นอย่างรุ่น GR5 2017 หัวเว่ยได้ใช้พรีเซ็นเตอร์ “มิว นิษฐา” เพื่อขยายไปยังกลุ่มผู้หญิงมากขึ้น เพราะหัวเว่ยมองว่าการจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ได้จะต้องแข็งแกร่งในทุกพอร์ตสินค้า ในปีนี้ได้ใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า พร้อมกับตั้งเป้าการเติบโตขึ้น 3 เท่าเช่นกัน
ส่งรุ่น P10 เซลฟี่กล้องคู่ลงตลาด
จากความสำเร็จของปีที่แล้วกับรุ่น P9 ปีนี้หัวเว่ยส่งน้องใหม่รุ่น P10 และ P10 Plus ลงทำตลาดต่อทันที ในแต่ละปีหัวเว่ยจะมีรุ่นแฟล็กชิพ 2 รุ่นด้วยกันคือตระกูล P ที่เน้นเรื่องไลฟ์สไตล์ ส่วนรุ่น Mate จะเน้นเรื่องการใช้งาน สเป็กที่แรงกว่า ที่ไทม์ไลน์ในการออกสินค้าห่างกัน 6 เดือน และที่หัวเว่ยออกสินค้าใหม่ช่วงนี้ เพราะมองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะ ไม่มีแบรนด์อื่นออกสินค้าชนกัน
รุ่น P10 ยังคงมาพร้อมกับกล้องไลก้าเช่นเคย แต่พ่วงมาด้วย “กล้องหน้า” ที่เป็นกล้องคู่จากไลก้า สามารถเซลฟี่ได้แบบหน้าชัดหลังเบลอได้เหมือนกับที่ถ่ายกล้องหลัง P10 (32 GB) มาพร้อมกับราคา 17,900 บาท P10 (64 GB) ราคา 19,900 บาท และ P10 Plus ราคา 23,900 บาท
ไฮไลต์นอกจากเรื่องกล้องยังมีเรื่องสีใหม่ที่มีคอนเซ็ปต์ด้วยการนำสี Pantone ประจำปี 2017 อย่างสีเขียว Greenery มาใช้ และมีสีน้ำเงิน Dazzling Blue เพิ่มเติมด้วย
สำหรับเป้าหมายของหัวเว่ยในปีนี้ยังคงสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้น 3 เท่า และจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในไทยให้ได้ภายในปี 2563