กลายเป็นวิกฤตที่โลกจับตามองหลังจากกูเกิล (Google) ถูกวิจารณ์อย่างหนักในอังกฤษ และยุโรปตลอดสัปดาห์ วันนี้กูเกิล ประกาศว่า ได้เริ่มมาตรการเปลี่ยนแปลงกับระบบโฆษณาของตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดกรณีโฆษณาถูกแสดงในวิดีโอที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม จนทำให้เกิดกระแสแบนงดลงโฆษณากับ Google และ YouTube ในวงกว้าง
ความเปลี่ยนแปลงนี้ถูกเปิดเผยโดยฟิลิปป์ สคินเดอร์ (Philipp Schindler) ประธานฝ่ายธุรกิจของกูเกิล ที่ระบุในเว็บไซต์บริษัทว่า กูเกิลได้ปรับให้นักการตลาดสามารถตั้งค่าได้ง่ายขึ้นว่า คอนเทนต์ประเภทใดที่ไม่ต้องการให้โฆษณาปรากฏอยู่ใกล้เคียง จุดนี้นักการตลาดสามารถตั้งค่าคอนเทนต์ที่ไม่ต้องการได้แบบคลุมทั้งแคมเปญ
ทั้งหมดนี้ กูเกิล ขานรับว่า จะลบโฆษณาจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมทุกชิ้นที่ถูกร้องเรียน โดยเนื้อหาประเภทนี้มีลักษณะเป็นคอนเทนต์รุนแรงที่จู่โจมคนต่างศาสนา เชื้อชาติ และสีผิว แถมการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นทั่วโลก และจะมีผลทั้งกับ YouTube และเครือข่ายโฆษณายักษ์ใหญ่ของ Google
สาเหตุที่กูเกิลต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง คือ เพราะสื่อยักษ์ใหญ่ของอังกฤษอย่าง The Guardian, BBC, Transport for London, บริษัทสื่อโฆษณาชั้นนำ Havas และรัฐบาลอังกฤษ ประกาศถอดโฆษณาออกจากระบบเพราะไม่พอใจที่โฆษณาของตัวเองถูกเผยแพร่อยู่ท่ามกลางคอนเทนต์หัวรุนแรงไม่เหมาะสม เสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ โดยประกาศแบนโฆษณากูเกิลครั้งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา
สถานการณ์ล่าสุด คือ อุตสาหกรรมการเงินการธนาคารก็เริ่มตัดสินถอดโฆษณาออกจากกูเกิลบ้าง ตัวอย่างเช่น กลุ่มธนาคาร Lloyds Banking Group ที่ถอดโฆษณาออกจาก YouTube เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่โฆษณาของตัวเองถูกแสดงใกล้เคียงกับคอนเทนต์ไม่เหมาะสม
ยังมีแบรนด์ที่แสดงจุดยืนถอดโฆษณาออกจาก YouTube แล้ว ได้แก่ Marks and Spencer, O2, L&rsquOréal, McDonald, Tesco รวมถึงค่ายรถ Audi, Honda, Volkswagen และ Toyota ที่ต้องการปกป้องตัวเอง
ไฟลุกโชนนี้ทำให้ในที่สุด กูเกิลก็ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่าง (หรือทุกอย่าง) เพื่อกู้วิกฤตโดนแบนก่อนที่จะสายเกินไป
ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000029929