โพโมะเฮาส์ (Pomo House co.,ltd.) สตาร์ทอัพไทยด้าน IOT รายแรกที่สามารถนำสินค้าเข้าสู่ตลาดโลกได้สำเร็จ ซึ่งขณะนี้มีผู้ใช้มากกว่า 1 แสนราย ในกว่า 20 ประเทศ โดยการเข้าสู่ปีที่ 3 ของ โพโมะเฮาส์ นั้นถือว่าเป็นการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งการขยายตลาดไปยังต่างประเทศและการออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงบริการใหม่ๆที่น่าสนใจออกมาอีกด้วย
นายฉัตรชัย ตั้งจิตตรง กรรมการบริหาร บริษัท โพโมะเฮาส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (สิงคโปร์) ได้เปิดเผยว่า “จากจุดเริ่มต้นที่เราได้ทำการเปิดตัวบริษัท เมือประมาณในเดือน พฤษภาคม 2015 จนมาถึงตอนนี้ เป็นเวลาเกือบสองปีเต็มแล้ว ที่บริษัทของเราได้เจริญเติบโต ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ซึ่งจุดเริ่มต้นนั้น ได้เกิดจาก ประสบการณ์จริงที่เกือบจะต้องพลัดหลงกับลูกสาวในขณะเดินทางท่องเที่ยว หลังจากนั้นจึงได้มีการรวบรวมทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านซอฟท์แวร์สำหรับกลุ่มเด็กและครอบครัวโดยเฉพาะเพื่อช่วยกันคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถป้องกันปัญหาเด็กหายจากต้นเหตุ จึงเป็นที่มาของ POMO Kids Watch โดยในปีแรก เราได้ทุ่มทุนกว่า 30 ล้านบาท ในการเปิดตลาดนาฬิกาป้องกันเด็กหายสำหรับเด็ก ซึ่งหลังจากเปิดตัวแล้ว ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด พ่อแม่ผู้ปกครองให้ความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์เยอะมาก มีการพูดต่อออกไปเป็นวงกว้าง จึงทำให้ตลาดเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับในการก้าวสู่ปีที่ 3 นั้น คงต้องขอบอกว่า เราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นหลายรุ่นมาก โดยต่อยอดมาจาก POMO Kids Watch ในรุ่นแรก โดยมีตามออกมาถึงสามรุ่นอีกด้วยกันในระยะเวลาเกือบสองปี ประกอบด้วย รุ่น Moji,R2,Waffle ซึ่งทั้งสามรุ่นนั้นตอนนี้สามารถเปิดตลาดในต่างประเทศได้เป็นที่เรียบร้อย และได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
นอกจากในกลุ่มนาฬิกาติดตามตัวเด็กแล้ว เรายังได้ต่อยอดผลิตภัณฑ์ออกมาอีกกลุ่ม สำหรับเด็กแรกเกิดในชื่อว่า POMO Bebe โดยมีความโดดเด่นอยู่ที่เป็นเครื่องติดตามพัฒนาการของเด็กแรกเกิด รวมไปถึงการช่วยวัดอุณหภูมิให้กับเด็กได้อีกด้วย เป็นการช่วยคุณแม่ป้องกันในเรืองของสุขภาพของเด็ก และที่โดดเด่นคือการวัดอุณหภูมิความร้อนของนมสำหรับทารกได้อีกด้วย ซึ่งผลงานรุ่นนี้ ยังสามารถผ่านเข้ารอบสุดท้าย “The Bump Best of Baby Tech Awards” ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
สำหรับแผนการตลาดในปีนี้นั้นเราจะเน้นที่ตลาดในอเมริกาและยุโรป เนื่องจากได้รับการติดต่อจาก partner หลายบริษัทจากต่างประเทศ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีทีผ่านมา เราก็ได้รับเลือกไปร่วมโชว์ในงานด้านไอทีระดับโลกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงาน Mobile World Congress บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน รวมไปถึงงานด้านไอที ระดับโลกคืองาน Consumer Electronics Association ณ ลาสเวกัส สหรัฐ อเมริกา ซึ่งทั้งสองงานถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างสูงและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
ส่วนรูปแบบการทำการตลาดก็จะนำเรื่องของ Lifestyle Marketing เข้ามาเสริม เพือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้เป็นวงกว้างได้อีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเราได้จัดการประกวด POMO Little Model Contest เพื่อค้นหา Brand Ambassador ให้กับแบรนด์ของเรา ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับดีมาก มีเด็กเข้ามาประกวดหลายพันคน จนผ่านการคัดเลือกหลายรอบ จนได้ Brand Ambassador มาทั้งสิ้น 15 คน โดยจะทำหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ ในระยะเวลาหนึ่งปี ซึ่งเราถือว่าเป็นการตอกย้ำภาพของเราแบรนด์ Pomo ได้ชัดยิ่งขึ้นในด้าน Fashoinable IOT สำหรับเด็ก
สำหรับไฮไลท์ผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจของบริษัทในปีนี้ ตอนนี้ก็จะเป็นรุ่นที่ชื่อว่า Waffle โดยในรุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่นที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเรารวมเอาไฮไลท์เด่นๆไว้ในตัวผลิตภัณฑ์ไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอสี การ DIY หน้าจอได้เอง ฟังก์ชั่น Take Me Home ที่เมือเด็กหลงทางสามารถกลับบ้านได้ตามโปรแกรมที่เซตไว้ในนาฬิกา หรือการ DIYผ่านทางสายห่วงนาฬิกา และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งนี้ทาง Pomo ได้มีการร่วมมือกับ San-X เพื่อนำ Rilakkuma มาสร้างสีสันให้น่าสนใจโดยการออก Waffle Watch Face and Watch Band Limited Edition รุ่น Rilakkuma ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยอีกด้วย
สำหรับงบการตลาดสำหรับในปีนี้เราได้วางงบไว้อยู่ที่ 10 ล้านบาท สำหรับการทำการตลาดโดยจะเน้นหนักทางด้าน ออนไลน์ และดิจิตอลทุกประเภท ส่วนในภาพรวมของการลงทุนนั้น ทางบริษัทก็ได้เพิ่มการลงทุนทั้งในและต่างประเทศโดยการจัดตั้งบริษัท Pomo House LLC ขึ้นในประเทศอเมริกาเพื่อดูแลตลาดทั้งในทวีปอเมริกาทั้งหมด ส่วนในประเทศไทยนั้นก็ได้จัดตั้งบริษัท PMH เพื่อเป็นตัวแทนดูแลเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของ Pomo รวมถึงยังได้เซ็นต์สัญญานำเข้าสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ๆจากต่างประเทศเพื่อนำมาให้คนไทยได้เป็นเจ้าของกันอีกด้วย
การ Open House ครั้งนี้ทางบริษัทก็ถือว่าได้เป็นการอัพเดทความคือหน้าการดำเนินงานของบริษัท ให้กับทางสื่อมวลชนได้รับทราบ รวมไปถึงการโชว์ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผ่านมาของบริษัทอีกด้วย และเราก็จะไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมให้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่จะให้ชาวต่างชาติได้ยอมรับในฝีมือของคนไทย ยิ่งขึ้นไปอีก” คุณฉัตรชัยกล่าวทิ้งท้าย