Group M คาดเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลทะลุ 1.8238 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ครองสัดส่วน 33.3% ส่วนทีวี ยังครองเม็ดเงินโฆษณาสูงสุด 41% แต่เข้าไม่ถึงกลุ่มผู้ชมอายุน้อย Google-Facebook ดูดเงินโฆษณาดิจิทัลมากสุด แต่ต้องจับตา Snapchat หรือ Amazon
Group M เผยรายงาน Interactionประจำปี 2560 ซึ่งได้ประเมินความเคลื่อนไหวในแวดวงโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลทั่วโลก พร้อมคาดการณ์ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เทรนด์วงการสื่อ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากความคิดเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญในบริษัทด้านการสื่อสาร การตลาด และบริการข้อมูลในเครือของ WPP ทั่วโลก
รายงานดังกล่าวให้ข้อมูลเจาะลึกที่สนับสนุนการคาดการณ์การเติบโตของสื่อโฆษณาดิจิทัลใน 46 ตลาด สำหรับประเด็นที่นำมาวิเคราะห์ประกอบด้วยการปั่นยอดเข้าชมโฆษณา (ad fraud) ความน่าเชื่อถือของตลาด ข่าวปลอม ความเป็นส่วนตัว การบล็อกโฆษณา ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยี AR และ VR การแข่งขันด้านวิดีโอตามแพลตฟอร์มต่างๆ ไลฟ์วิดีโอ โทรทัศน์ขั้นสูง สตรีมมิ่ง ออดิโอออนดีมานด์ และอีกมากมาย
นอกจากนี้ ร็อบ นอร์แมน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล และ อดัม สมิธ ผู้อำนวยการฝ่าย Futures ของ Group M ยังได้ร่วมแบ่งปันมุมมองในแง่ของการกำหนดราคาสื่อ มูลค่ารวมทางเศรษฐกิจของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ การบริโภคสื่อ และเทรนด์ของอีคอมเมิร์ซ
เม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลแซงหน้าทีวีแล้วใน 10 ประเทศ
Group M ได้คาดการณ์ว่า เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลจะคิดเป็นสัดส่วน 77 เซ็นต์ต่อเม็ดเงินโฆษณาใหม่ทุก 1 ดอลลาร์ในปี 2560 ขณะที่โทรทัศน์จะครองเพียง 17 เซ็นต์ โดยแม้ว่าจะมีความท้าทายในเรื่องของมาตรฐาน การวัดจำนวนผู้ชม และความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน แต่โฆษณาดิจิทัลยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักการตลาดเกาะติดสื่อที่ผู้บริโภคนิยมใช้งานรวมถึงซื้อสินค้าและบริการ ทั้งนี้ เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลได้พุ่งแซงโทรทัศน์ไปแล้วใน 10 ตลาด ประกอบไปด้วย ออสเตรเลีย แคนาดา จีน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน และสหราชอาณาจักร และ Group M คาดการณ์ว่าจะมีอีก 5 ตลาดในปี 2560 (ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอร์แลนด์ ฮ่องกง และไต้หวัน)
ผู้บริโภคให้เวลาสื่อออนไลน์ 14 นาที
ทุกวันนี้ การแข่งขันเพื่อชิงความสนใจจากผู้บริโภคและดึงเม็ดเงินจากผู้ลงโฆษณาได้ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ขณะที่ผู้คนทั่วโลกใช้เวลากับสื่อมากขึ้น โดยเมื่อพิจารณาจากค่าเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามกลุ่มประชากร พบว่า ระยะเวลาที่ผู้บริโภคให้กับสื่อทั้งหมดปรับตัวเพิ่มขึ้น 9 นาที แตะที่ 8 ชั่วโมงต่อวันในปี 2559 แต่ระยะเวลาที่ผู้บริโภคให้กับสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 14 นาที เนื่องจากเทคโนโลยีมือถือเปิดโอกาสให้เข้าถึงสื่อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีมือถือยังช่วยหนุนจำนวนผู้ใหญ่ที่ใช้อินเทอร์เน็ตให้เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.34 พันล้านคนในปี 2559 อย่างไรก็ดี ข้อมูลของ Group M ชี้ให้เห็นว่า ณ ตอนนี้ โทรทัศน์ยังคงเป็นช่องทางหลักสำหรับการโฆษณา โดยมีสัดส่วนเม็ดเงินโฆษณาเหนียวแน่นอยู่ที่ 42% ในปี 2559 ขณะที่ GroupM คาดการณ์ว่าสัดส่วนดังกล่าวจะขยับลงมาเพียงเล็กน้อยอยู่ที่ 41% ในปี 2560 นอกจากนี้ โทรทัศน์ยังครองส่วนแบ่งสูงสุด 44% ติดกันถึง 5 ปี ในช่วงปี 2553-2557 และหลังจากนั้นก็ขยับลงมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่ากลุ่มผู้ชมโทรทัศน์ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดจำนวนลงของกลุ่มผู้ชมอายุ 16-24 ปี แม้ว่าจำนวนประชากรโลกอายุ 16-24 ปีจะลดลงเพียง 1% ในปี 2557-2559 แต่กลุ่มผู้ชมโทรทัศน์ในช่วงอายุดังกล่าวกลับลดลงถึง 16% และในบางตลาดลดลงเกือบ 30% โดย Group M ให้เหตุผลว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสื่อโทรทัศน์ไม่สามารถวัดจำนวนผู้ชมผ่านแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้อย่างครอบคลุม ด้วยเหตุนี้ Group M จึงพัฒนาการวัดจำนวนผู้ชมโทรทัศน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ทั่วโลกให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และเนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการวัดผลที่ครอบคลุม ผู้ลงโฆษณาที่ต้องการส่งสารไปยังผู้ชมกลุ่มนี้จึงต้องสามารถแบกรับค่าโฆษณาที่แปรผันกับจำนวนผู้ชมที่ลดลง นอกจากนี้ GroupM ยังได้ศึกษาเกี่ยวกับมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจของ 6 บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ครองเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลมากที่สุด นำโดย Google และ Facebook โดยระบุว่า บริษัทเหล่านี้มีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับเจ้าของสื่อโทรทัศน์ และสามารถดึงดูดผู้ลงโฆษณาได้หลากหลายมากกว่า ทั้งนี้ ผู้ลงโฆษณาซึ่งเป็นช่องทางสร้างรายได้หลักของสื่อโทรทัศน์ด้วยสัดส่วนสูงถึง 90% กลับเป็นช่องทางสร้างรายได้ของสื่อดิจิทัลคิดเป็นสัดส่วนเพียง 30-40% ส่วนอีก 70% มาจากธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจในท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการดิจิทัล อย่างไรก็ตาม สภาพการณ์ดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เนื่องจากโทรทัศน์เริ่มถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและมีการเจาะจงเป้าหมายยิ่งขึ้น (คล้ายสื่อดิจิทัลมากขึ้น) ขณะที่คอนเทนต์วิดีโอและแพลตฟอร์มดิจิทัลก็กำลังพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น (คล้ายโทรทัศน์มากขึ้น)
Google-Facebook ดูดเงินโฆษณาดิจิทัลมากสุด
อดัม สมิธ ผู้อำนวยการฝ่าย Futures ของ GroupM กล่าวว่า “Google และ Facebook ดึงดูดเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลมากที่สุดในปี 2559 ส่วนในปี 2560 เป็นที่น่าจับตาว่า Snapchat หรือ Amazon จะก้าวเข้ามาชิงส่วนแบ่งได้หรือไม่ และต้องคอยดูกันว่า 3 องค์กรยักษ์ใหญ่แห่งแดนมังกรอย่าง ‘BAT’ (Baidu, Alibaba, Tencent) จะสยายปีกเข้าสู่ตลาดสากลได้หรือไม่”
คาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลดทะลุ 2.205 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ รายงาน Interaction ประจำปี 2560 ยังได้สำรวจพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค โดยในปี 2559 มูลค่าอีคอมเมิร์ซทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 20% แตะที่ 1.874 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.558 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปี 2560 Group M คาดการณ์ว่ามูลค่าของอีคอมเมิร์ซจะเติบโตราว 18% สู่ระดับ 2.205 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดการซื้อสินค้าออนไลน์เฉลี่ยต่อบุคคลจะอยู่ที่ราว 869 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2560 ขณะเดียวกัน อังกฤษยังคงครองแชมป์ประเทศที่มีจำนวนนักช้อปออนไลน์มากที่สุด และคาดว่ายอดการซื้อสินค้าออนไลน์เฉลี่ยต่อบุคคลจะอยู่ที่ราว 4,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2560 ทั้งนี้ Amazon และ Alibaba ครองตลาดอีคอมเมิร์ซเกินครึ่งหนึ่งของทั้งหมด (ไม่นับรวมหมวดท่องเที่ยว)
เกี่ยวกับ GroupM
GroupM เป็นกลุ่มบริหารจัดการการลงทุนด้านสื่อชั้นแนวหน้าระดับโลก โดยเป็นบริษัทแม่ของมีเดียเอเจนซี่ในเครือ WPP อันได้แก่ Mindshare, MEC, MediaCom, Maxus, Essence และ m/SIX รวมทั้งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มจัดการและวางแผนสื่อดิจิทัลอย่างXaxis ทั้งยังทำงานร่วมกับ Kantar ทั้งนี้ รายได้ของ GroupM และ Kantar รวมกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่มบริษัท WPP ที่มีมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์
ที่มา : อินโฟเควสท์