สมเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจดิจิทัล แบงกิ้งสำหรับธนาคารกสิกรไทยที่มาพร้อมความล้ำหน้าเสมอ ความแรงของ โมบาย แบงกิ้งที่เติบโตขึ้น 50% ในปีที่แล้ว และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับกระแสของการสร้าง Cashless Society ตามนโยบายของรัฐ ทำให้เจ้าตลาดอย่างธนาคารกสิกรไทย ต้องเร่งพัฒนาระบบชำระเงินใหม่ๆ เข้ามาเสริมทัพ
QR Code เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ธนาคารกสิกรไทยนำมาใช้สำหรับการจับจ่ายในชีวิตประจำวัน ลองนึกภาพที่คนไทยไม่ต้องพกกระเป๋าสตางค์ ขอแค่มีสมาร์ทโฟนติดตัวพร้อมแอปพลิเคชั่นโมบาย แบงกิ้ง เวลาจับจ่ายใช้สอยสินค้านอกบ้าน ก็แค่สแกน QR Code จากสมาร์ทโฟน เพื่อชำระเงิน เหมือนอย่างคนจีนที่มีบัญชี e-Wallet มากกว่า 1.25 พันล้านบัญชี และคุ้นเคยกับโลกรอบตัวที่เต็มไปด้วย QR Code
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ทุกวันนี้ใครๆ ก็หันมาทำธุรกรรมการเงินบนสมาร์ทโฟน หรือโมบาย แบงกิ้งกันมากขึ้น เพราะความสะดวกรวดเร็ว ง่าย และปลอดภัย สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ “ดิจิทัล โมบิลิตี้” (Digital Mobility) ของคนในปัจจุบันที่ไม่อยู่นิ่ง ต้องการความสะดวกสบาย และจัดการทุกสิ่งด้วยตัวเองผ่านสมาร์ทโฟน
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ปี 2559 มีจำนวนบัญชีโมบาย แบงกิ้งทำธุรกรรมการเงินเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 50% ในขณะที่แอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ K PLUS ของธนาคารกสิกรไทยซึ่งเป็นผู้นำตลาดโมบาย แบงกิ้ง มีจำนวนผู้ใช้กว่า 6 ล้านราย ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จและเป็นผู้นำอันดับ 1 ของบริการโมบาย แบงกิ้งจากธนาคารกสิกรไทย
ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวแอปพลิเคชั่นใหม่ K PLUS SHOP ประกาศตัวเป็นแอปฯ แรกในประเทศไทยที่ใช้เทคโนโลยีชำระเงินด้วย QR Code และเป็นมิติใหม่ของระบบรับจ่ายเงินที่จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพการค้าขายให้กับกลุ่มร้านค้าขนาดย่อม 3 กลุ่ม คือ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านสินค้าแฟชั่น และการเดินทางในชีวิตประจำวัน เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้าง
ในฝั่งของร้านค้าหรือคนขาย แอปพลิเคชั่นบนมือถือ K PLUS SHOP จะทำหน้าที่เหมือนเป็นระบบหลังบ้านที่ช่วยเพิ่มศักยภาพและโอกาสในการขายสินค้าและบริการให้กับร้านค้าขนาดย่อมที่มียอดการรับโอนเงินไม่เกิน 50,000 บาท/รายการ ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี QR Code ที่จะสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่รวดเร็ว สะดวก และปลอดภัย โดยร้านค้าแค่โชว์ QR Code ที่อยู่หน้าร้านหรือผ่านแอปพลิเคชันมือถือ K PLUS SHOP ให้ลูกค้าสแกน ก็ได้รับเงินทันที และในอนาคต K PLUS SHOP จะสามารถรับการชำระเงินจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยผ่านคิวอาร์ โค้ด ในแอปพลิเคชั่นยอดนิยมของชาวจีน คือ อาลีเพย์ (Alipay) และวีแชท (WeChat)
ส่วนคนใช้จ่ายเงิน ยิ่งมีความสะดวกมากยิ่งขึ้นในการจับจ่ายใช้สอย จากแต่ก่อนการโอนเงินบนแอปพลิเคชั่นโมบายแบงกิ้ง K PLUS ต้องใส่เลขบัญชีธนาคาร ต่อมาได้พัฒนาให้โอนเงินกันง่ายขึ้นด้วยการใส่แค่เบอร์โทรศัพท์มือถือ และมาวันนี้ก็ง่ายขึ้นไปอีกกับฟีเจอร์ QR Code บน K PLUS เพียงแค่เปิดฟีเจอร์อ่าน QR Code ในโมบาย แบงกิ้งแล้วยิง QR Code ของร้านค้า ก็โอนจ่ายเงินให้กับร้านค้าที่ซื้อสินค้าหรือบริการได้ทันที สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย
ในช่วงแรก K PLUS SHOP มีพื้นที่การให้บริการใน 3 แหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ได้แก่ สยาม สแควร์ ตลาดนัดจตุจักร และเดอะแพลทินัม แฟชั่นมอลล์ ประตูน้ำ ซึ่งมีจำนวนร้านค้ารวมกันมากกว่า 10,000 ร้านค้า และขยายทั่วประเทศในสิ้นปีนี้ ตั้งเป้าร้านค้ารับชำระกว่า 200,000 ร้านค้า มีมูลค่าการทำธุรกรรมในปีนี้ 800 ล้านบาท
พร้อมๆ กันยังได้สร้างกระแสความแรงของภาษาใหม่ในการใช้จ่ายกับคอนเซปต์ “ยิงปิ๊บ จ่ายปั๊บ” ด้วยการปูพรมเดินสายโชว์ความล้ำของ K PLUS SHOP จากตัวเด็ดตัวแม่ สายเปย์ทั้ง 7 ได้แก่ เอ ศุภชัย, ต้าเหนิง – เจเจ, ปิงปองและเต๋อ, รัศมีแข และตั๊ก ศิริพร อาศัยพลังการแชะ&แชร์ของโซเชียล มีเดีย สร้างการรับรู้และเข้าใจในการใช้งาน K PLUS SHOP ทั้งในมุมคนขายและคนซื้อ พร้อมจัดโปรโมชั่นสำหรับกระตุ้นการใช้จ่ายผ่าน QR Code ทั้งฝั่งร้านค้าและลูกค้า
จะเห็นได้ว่า ทุกการพัฒนาบนดิจิทัล แบงกิ้งของธนาคารกสิกรไทย เน้นย้ำคอนเซปต์ที่จะทำให้ทุกเรื่องง่ายขึ้น จับไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้ที่ชีวิตเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลตลอดเวลา แถมยังต้องการความล้ำที่มาพร้อมกับความง่าย สะดวก และปลอดภัย
การทยอยออกแอปพลิเคชั่นล้ำๆ พร้อมด้วยฟีเจอร์ง่ายๆ แบบต่อเนื่อง และการเล่นใหญ่ของเจ้าตลาดอย่าง กสิกรไทย จึงสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาด และเป็นที่จับตาว่า จะมีอะไรบ้างในโมบายแบงกิ้งที่จะทำให้ทุกเรื่องง่ายขึ้น…ได้อีก
#KPLUSSHOP #ยิงปิ๊บจ่ายปั๊บ