ราคาใหม่ของ iPhone (หน่วยเป็นเหรียญสหรัฐ)
ใครหนอช่างพยากรณ์ว่าสมาร์ทโฟนในวันหน้าจะราคาถูกลง เพราะสิ่งที่แอปเปิล (Apple) ทำในวันนี้ตอกย้ำว่าราคาของไอโฟนบางรุ่นกำลังทยานขึ้นอีก
สมาร์ทโฟนหรูหราที่แอปเปิลเพิ่งเปิดตัวเมื่อวันอังคารที่ 12 ก.ย.อย่างไอโฟนเทน (iPhone X) ทำราคาเปิดตัวสูงกว่าไอโฟนรุ่นแรกเมื่อ 10 ปีก่อนถึง 2 เท่าตัว เป็นสัญญาณบอกว่ากลยุทธ์ราคาของตลาดสมาร์ทโฟนโลกในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลง
เหตุที่ทำให้ iPhone X ถูกมองเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์ราคาในตลาดสมาร์ทโฟนโลก คือสมาร์ทโฟนที่โลกรอคอยรุ่นนี้ มีราคาจำหน่ายสูงกว่าสมาร์ทโฟนคู่แข่งทุกรุ่นในท้องตลาด แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่น่าแปลกใจเพราะแอปเปิลขึ้นชื่อเรื่องผู้นำด้านราคาอยู่แล้ว แต่การตัดสินใจยกระดับราคาขึ้นอีกนั้นสะท้อนความมั่นใจ ที่แบรนด์อื่นอาจจะต้องย้อนกลับมาดูตัวเอง
ราคาไอโฟนรุ่นใหม่ที่เพิ่มขึ้นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าแอปเปิลกำลังเพิ่มความเข้มข้นในกลยุทธ์ราคา โดยวางเดิมพันด้วยการผลักดันราคาให้สูงขึ้นต่อไปทั้งที่การปรับปรุง หรือการเพิ่มคุณสมบัติใหม่อยู่ในอัตราส่วนระดับเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นสวนทางกับราคาอุปกรณ์ไฮเทคอื่นที่มักลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งที่แก็ดเจ็ตเหล่านี้ก็มีการพัฒนาให้ทำงานได้เร็วขึ้นและมีความสามารถใหม่อยู่เสมอ
ไม่แค่ไอโฟน 12 ก.ย. ที่ผ่านมาแอปเปิลยังเปิดตัวกล่องทีวีสตรีมมิงที่ราคาขายสูงถึง 179 เหรียญ ราคานี้สูงกว่ากล่องทีวีสตรีมมิ่งทุกรายในท้องตลาด
ยังมีสมาร์ทว็อตช์ที่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ราคาเกือบ 400 เหรียญ
ไม่พอ ในเดือนธ.ค.นี้ แอปเปิลมีคิววางจำหน่ายลำโพงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตชื่อโฮมพ็อด (HomePod) ราคาจำหน่ายที่ประกาศออกมาคือ 349 เหรียญ ซึ่งเป็นราคาสูงกว่าลำโพงของแอมะซอน (Amazon Echo) ที่เป็นเจ้าตลาดอยู่ 2 เท่าตัว
สำหรับโทรศัพท์มือถือรุ่นรอง แอปเปิลจัดการเพิ่มราคาให้ iPhone 8 และ 8 Plus มีค่าใช้จ่ายมากกว่าไอโฟนรุ่นก่อน iPhone 7 และ 7 Plus ราว 50 และ 30 เหรียญ (ตามลำดับ)
จ่ายมาก ได้มากตาม?
กลยุทธ์ตั้งราคาสินค้าให้สูงลิ่วเป็นเกมที่แอปเปิลเชื่อมั่นมานาน ว่าผู้บริโภคจะยอมเสียเงินมากกว่าเพื่อซื้อสินค้าที่ดีไซน์สวยและมีคุณภาพมากกว่า
แต่กรณีล่าสุดนั้นมีประเด็นน่าสงสัย เพราะแม้ซีอีโอแอปเปิล ‘ทิม คุก’ (Tim Cook) จะให้เหตุผลว่า iPhone X คือไอโฟนที่มีพัฒนาการยิ่งใหญ่ที่สุด และพัฒนาการนี้มีค่ามากพอที่จะทำให้ iPhone X สามารถจำหน่ายในราคาที่สูงกว่ารุ่นแรกที่ผู้ก่อตั้งสตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) เคยเปิดตัวในราคา 499 เหรียญ แต่เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากไอโฟนรุ่นแรกนั้นปฏิวัติวงการ ด้วยการนำคอมพิวเตอร์พกพามาผสมกับแอปพลิเคชันมาสู่มือผู้ใช้ทั่วโลกที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ซึ่งสำหรับ iPhone X คุณสมบัติที่มีล้วนเป็นคุณสมบัติที่มีในสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นแล้ว บนคำการันตีว่าประสิทธิภาพดีกว่าเท่านั้น
จุดเด่นของ iPhone X มีทั้งดีไซน์แบบกระจกทั้งหมด มีหน้าจอเทคโนโลยีใหม่ OLED ที่แอปเปิลเรียกว่าซูเปอร์เรตินา (super retina) ขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล แอปเปิลการันตีว่า OLED แสดงสีดำได้ดำสนิท มีอัตราส่วนคอนทราสต์ที่ 1,000,000 ต่อ 1
ยังมีชิปใน iPhone X ที่ถูกเรียกว่า A11 Bionic เป็น CPU แบบ 6 คอร์ ซึ่งประกอบด้วยคอร์ประมวลผลการทำงาน 2 คอร์ที่เร็วขึ้น 25% มีเซ็นเซอร์ใหม่ที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวใบหน้าได้ ทำให้เพิ่มสีสันการใช้งานได้เช่น ภาพอิโมจิที่ยิ้มหรือขมวดคิ้วตามผู้ใช้ นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถถ่ายภาพบุคคลแบบเบลอพื้นหลัง สามารถเล่นเกมเสมือนจริง AR และระบบชาร์จไร้สาย ทั้งหมดนี้แอปเปิลการันตีว่ามีแบตเตอรี่อึดทนนานกว่า iPhone 7 ราว 2 ชั่วโมง
คุณสมบัติเหล่านี้ล้วนธรรมดาในสายตาคู่แข่ง โดยเฉพาะตัวแรงอย่างซัมซุง (Samsung) ที่มีหน้าจอเทคโนโลยีใกล้เคียงกัน มีระบบวิเคราะห์ใบหน้า ระบบ AR และระบบชาร์จไร้สาย แต่จำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่า นั่นคือ 930 เหรียญสหรัฐ หรือราคาไทย 33,900 บาท
จับตาแอปเปิลยิ่งโต
แม้จะมีจุดน่าสงสัยขนาดไหน แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า iPhone X คือพระเอกที่จะทำให้แอปเปิลมีโอกาสนำเทคโนโลยี AR หรือ augmented reality มาสู่ผู้ใช้วงกว้าง
AR เป็นการแสดงภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกทับภาพจริงสไตล์เกมฮิตโปเกมอนโก (Pokemon Go) แต่ถึงขณะนี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่า แอปพลิเคชันใดที่จะทำให้ AR กลายเป็นกระแสฮิตได้สำเร็จ จุดนี้ถือว่าแอปเปิลเป็นรายล่าสุดที่กระโดดเข้ามาอัดฉีด AR อย่างจริงจัง โดยบนเวที แอปเปิลสาธิตการใช้งานเทคโนโลยีสุดยอดกล้องใน iPhone X ด้วยระบบแอนิโมจิ (Animoji) ซึ่งทำให้ผู้ใช้ควบคุมให้การ์ตูนอิโมจิเคลื่อนไหวได้ด้วยกล้ามเนื้อบนใบหน้าก่อนจะส่งถึงเพื่อน
ทั้งหมดนี้ นักวิเคราะห์การ์ทเนอร์รายหนึ่งบอกว่า การโชว์เทคโนโลยีใหม่ผ่านสิ่งที่ผู้ใช้สามารถใช้ได้ทุกวัน คือสิ่งที่แอปเปิลทำได้ดีกว่าคู่แข่ง กรณีเทคโนโลยี AR แอปพลิเคชันเสมือนจริงย่อมไม่ผูกติดกับ iPhone X เท่านั้น แต่จะรองรับไอโฟนหลายล้านเครื่องบนโลก ซึ่งกำลังจะได้ติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ iOS 11 หลังจากแอปเปิลอัปเดทฟรีในช่วงสัปดาห์หน้า
นอกจากความฮือฮาในตลาดสมาร์ทโฟนแล้ว แอปเปิลยังเปิดตัวแอปเปิลทีวี โฟร์เค (Apple TV 4K) ใหม่ โดยรองรับทั้ง 4K และ High Dynamic Range (HDR) ทำให้ได้ภาพที่คมชัดมากขึ้น สามารถเป็นศูนย์กลางเพื่อควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้าน (HomeKit) โดยทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมได้จากระยะไกล รวมถึงตั้งการควบคุมอัตโนมัติได้ เช่น เปิดไฟโดยอัตโนมัติเมื่อดวงอาทิตย์ตก ราคาเริ่มต้นของ Apple TV 4K อยู่ที่ 8,500 บาท สำหรับความจุ 32 GB และ 9,200 บาท สำหรับความจุ 64 GB
สำหรับนาฬิกาอัจฉริยะใหม่ แอปเปิลวอทช์ซีรีส์ 3 (Apple Watch Series 3) นั้นมีความสามารถหลักคือมาพร้อมระบบเซลลูลาร์ในตัว ทำให้สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องพึ่งไอโฟนอีกต่อไป รวมถึงรองรับบริการสตรีมมิ่งเพลงจากแอปเปิลมิวสิกได้โดยตรงด้วย
การเพิ่มระบบเซลลูลาร์เข้ามานี้ ทำให้แอปเปิลวอทช์ซีรีส์ 3 สามารถโทร.เข้า-ออก และรับ-ส่งข้อความได้ในตัว นอกจากนั้น ยังสามารถทำงานร่วมกับ Siri ในด้านต่าง ๆ เช่น สั่งให้ Siri แจ้งเตือนนัดหมายสำคัญ, บอกทาง ฯลฯ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสมาร์ทโฟนอีกต่อไป ซึ่งนั่นเท่ากับว่า เราสามารถวางสมาร์ทโฟน (ไอโฟน) ไว้ที่บ้าน แล้วออกจากบ้านมาพร้อมแอปเปิลวอทช์ซีรีส์ 3 ได้โดยลำพัง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 11,900 บาท จุดนี้ทำให้ Apple Watch Series 1 ปรับราคาใหม่อยู่ที่ 8,900 บาท
เหนืออื่นใด กลยุทธ์ราคาไม่ธรรมดาของแอปเปิลอาจทำให้คู่แข่งขอบคุณแอปเปิล เพราะราคาแสนโหดเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ผู้ใช้ลังเลในการเลือกซื้อ จุดนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่าการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากซัมซุง (Samsung) และหัวเว่ย (Huawei) จะเป็นแรงกดดันให้แอปเปิลไม่น้อย ขณะเดียวกันคู่แข่งเหล่านี้จะถือว่ามีโอกาสที่ดีในการสร้างตลาดใหม่ที่เรียกว่าซูเปอร์โฟน (super phone) เพื่อจำหน่ายสุดยอดสมาร์ทโฟนในราคาไม่ธรรมดาบ้าง
“ซูเปอร์โฟน” เหล่านี้เองที่จะทำให้เราชาวออนไลน์กระเป๋าเบาไปด้วย.
ที่มา : mgronline.com/Cyberbiz/detail/9600000094434