เปิดโปงกระบวนการหมิ่นสถาบันฯ

แม้การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้วในสังคมไทย แต่คงไม่มียุคใดสมัยใดที่ “สถาบันพระมหากษัตริย์” จะถูกหยิบยกกล่าวอ้างขึ้นมาเสริมสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับฝ่ายตน ตลอดจนใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม ทั้งในที่ลับและที่แจ้งอย่างมากมายเท่าสมัยนี้

จนบ่อยครั้งที่การหยิบยกเหล่านั้น ได้ก้าวล่วงขอบเขตที่มิบังควรในทางวัฒนธรรมการเมืองไทย จนถึงขั้น “หมิ่นพระบรมราชานุภาพ”

ความเห็นต่างเกี่ยวกับสถาบันฯ มาจากคนหลายกลุ่ม ทั้งนักวิชาการ และสื่อมวลชน บางคนประสงค์แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนา “หมิ่น” แม้ว่าบางเรื่องจะเป็นความจริงที่ “ไม่มีใครอยากรับรู้” และอีกกลุ่มคือผู้ที่รับวัฒนธรรมตะวันตก และอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบ “พลิกแผ่นดิน” แบบมี “ประธานาธิบดี” ด้วยความเชื่อที่ว่านั่นคือสิ่งที่เหมาะสมกับประเทศไทย

แหล่งเนื้อหา และการสื่อสารของกลุ่มนี้ แต่เดิมอยู่ในวงจำกัด เช่น พูดคุยเฉพาะกลุ่ม ในวงสัมมนา และไม่มีการนำออกมาพูดหรือเผยแพร่ต่อ แม้ว่าในหลายวงจะเปิดกว้างให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าว แต่ส่วนใหญ่อ่อนไหวเกินกว่าจะสามารถนำมารายงานสู่สาธารณชน

การสนทนาเริ่มดังขึ้น และมีการหยิบยก “สถาบันฯ” ขึ้นมาพูดถึงมากขึ้น มีการเผยแพร่มากขึ้น โดยเฉพาะหากลองค้นหาในเว็บไซต์กูเกิลในเวลานี้ จะพบการพูดถึงสถาบันฯ จำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการเมือง

เพราะในระยะหลังหลายคนเริ่มรู้สึกได้ว่า “สถาบันฯ” ถูกหยิบยกมาเป็น “เครื่องมือ” มากกว่าสิ่งที่ประกาศอ้างว่า “ปกป้องสถาบัน” เพื่อแสดงความชอบธรรมในการกระทำของตัวเอง

อย่างน้อย 2 ครั้ง ในการปฏิวัติรัฐประหารของทหาร เมื่อครั้ง 23 กุมภาพันธ์ 2534 และ 19 กันยายน 2549 ก็มีเรื่องเกี่ยวกับสถาบันฯ เป็น 1 ในเหตุผลที่ทหารยึดอำนาจจากรัฐบาล

หรือการรวมพลคนเสื้อเหลืองจนพัฒนามาสู่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นกลุ่มประชาชนที่รวมได้สำเร็จเพราะจุดเริ่มต้นที่มีจุดร่วมมาจากการ “ปกป้องสถาบันฯ”

เพราะในห้วงเวลานั้น เสียงวิพากษ์ “สถาบันฯ” ที่เริ่มดังขึ้น หลังการเมืองไทยก้าวมาสู่การเมืองที่เบ็ดเสร็จด้วยพรรคการเมืองเดียวมีอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาล อย่าง “ไทยรักไทย” ที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นหัวหน้าพรรค และได้เป็นนายกรัฐมนตรี

การ “สัญจรเยี่ยมชาวบ้าน” ยกระดับขบวนทัวร์ของนักการเมืองให้เทียบเท่ากับชนชั้นสูง “การแจกเงินให้ทุน” เพื่อให้ชาวบ้านได้จับจ่ายใช้สอยได้ทันใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และถูกถามกันมากถึงความเหมาะสมในการดำเนินนโยบายของ “ระบอบทักษิณ” ภายใต้นโยบายโครงการ “เอื้ออาทร”

ทั้งหมดคือด้านตรงข้ามของโครงการสร้างอาชีพ และทำให้ชาวบ้านเข้มแข็งและดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่ง อย่างโครงการในพระราชดำริ หรือการใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข

ตัวแทนกลุ่มทุนนิยมสุดขั้วอย่าง “ทักษิณ” ที่ผสมผสานอุดมการณ์เดียวกันอย่างลงตัวกับ “กลุ่มซ้าย” และอดีตแอคทิวิสต์บางคน ที่ต้องการพลิกการปกครองของไทยไปอีกด้านหนึ่ง ได้กลายเป็นที่มาของ “ปฏิญญาฟินแลนด์” ที่กลุ่มของ “ทักษิณ” และพรรคพวกตกลงกันที่ “ฟินแลนด์” โดยการเปิดเผยของ “ปราโมทย์ นาครทรรพ” นักวิชาการ และกลุ่มสื่อเอสเอสทีวี

รายละเอียดของแผน มี 5 ข้อ คือ
1. สร้างระบบรัฐบาลและพรรคการเมืองเดียว
2. เปลี่ยนระบบราชการให้อยู่ภายใต้อำนาจสั่งการของพรรคการเมือง
3. แปรรูปรัฐวิสาหกิจให้กลายเป็นของเอกชน เพื่อสร้างระบบทุนนิยมที่สมบูรณ์แบบ พร้อมพลิกเป็นระบบคอมมิวนิสต์
4. ลดทอนความสำคัญของสถาบันกษัตริย์
5. สร้างระบบพรรคการเมืองแบบรวมอำนาจที่กรรมการบริหารพรรคและผู้นำพรรค

เมื่อแผนถูกเปิดเผย คำถามจึงเกิดขึ้นกับพฤติกรรมของ “กลุ่มทักษิณ” เรื่องจึงต้องเข้าสู่ศาล เพราะการที่ “ทักษิณและพวก” ถูกกล่าวหาว่า “มีความมุ่งหมายในการเข้าบริหารประเทศตามปฏิญญาฟินแลนด์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปสู่การปกครองในระบอบทักษิณ” นั้นร้ายแรงเกินกว่าความรู้สึกของคนไทยจะรับไหว หาก “ความมุ่งหมายนั้นเป็นจริง”

ข้อกล่าวหานี้จะจริงหรือไม่ กลุ่มทักษิณย่อมรู้อยู่แก่ใจ แต่สิ่งที่ “ทักษิณ” ต้องออกมาแอคชั่น เป็นสิ่งที่นักวิชาการบางคนได้วิเคราะห์ไว้ว่า เรื่องของสถาบันฯนั้นอ่อนไหวมากเหลือเกิน การพยายามบอกกับสาธารณชนว่า “ทักษิณมีความจงรักภักดี” คือสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งจะมีความหมายอย่างที่บอกหรือไม่ หรือเป็นอย่างที่ “จักรภพ เพ็ญแข” อดีตนักการเมืองของไทยรักไทย พูดกับต่างชาติว่า “ทักษิณไม่ได้จงรักภักดี 100% เป็นเพียงแต่ มีความจงรักภักดีบ้าง”

การออกมาปฏิเสธ ตอบโต้ และฟ้องร้องผู้กล่าวหาจึงเป็นทางหนึ่งเพื่อ “แสดง” ถึงการรักษาความรู้สึกของประชาชน ซึ่งจะมีผลต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของตัวเอง อันเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะถึงอย่างไร “สถาบันฯ” ก็ยังคงเป็นที่เทิดทูน เคารพรักของคนไทย จึงไม่ง่าย หรืออาจเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่จะมีระบอบอื่นแทน “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

แต่ถึงกระนั้น แม้จะยังไม่มีหลักฐานอ้างอิง แต่สิ่งที่ปรากฏคือ ยิ่งมีความขัดแย้งสุดขั้วระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลือง และเสื้อแดง ยิ่ง “ทักษิณ” ต้องหาที่อยู่ในต่างประเทศ กระบวนการหมิ่นสถาบันฯ ยิ่งทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะการปล่อยข้อมูลข่าวสารต่างๆ ออกมาทางสื่อ โดยเฉพาะสื่อต่างชาติ และอินเทอร์เน็ต ถึงขั้นที่เจ้าหน้าที่รัฐอย่างพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบควรเร่งจัดการกับสื่อที่หมิ่นสถาบันฯ เหล่านี้

อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องโหว่คือ “สื่ออินเทอร์เน็ต” ที่ถูกกระบวนการเหล่านี้ใช้อย่างหนักในช่วง 4-5 ปี ที่มีมากจากเนื้อหาที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ที่ต้องมีการจดทะเบียน มาเป็นบนเว็บบอร์ด บล็อก จนมาถึงเว็บ YouTube ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2548 ที่เปิดกว้างให้คนทั่วไปโหลดคอนเทนต์ ทั้งภาพ วิดีโอ และเสียงเผยแพร่ได้เต็มที่ โดยเฉพาะหลังจากที่ “ทักษิณ” ถูกปฏิวัติยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และต้องเร่ร่อนในต่างแดน

เป็นที่น่าสังเกตว่าช่วงก่อนถูกปฏิวัติ “ทักษิณ” ได้เปิดศึกกับบุคคลที่เขาเรียกว่า “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” อย่างแจ้งชัด แม้เนื้อหาในคลิปวิดีโอที่เขาโพสต์ไว้ในยูทูบ จะเป็นเพียงแค่การออดอ้อนคนรักทักษิณ แต่ไม่นานนักหลังจากที่เว็บไซต์ยูทูบถูกบล็อกโดยกระทรวงไอซีที เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2550 ก็มีคนที่ใช้นามแฝงว่า Paddidda ส่งคลิปวิดีโอความยาว 44 วินาที ออกมาโลดแล่นในยูทูบ ที่ทั้งสำนักข่าวรอยเตอร์ ไฟแนนเชียลไทม์ และเอเอฟพี ต่างรายงานตรงกันว่า เป็นคลิปวิดีโอที่มีเนื้อหาในการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

จนกระทั่งกระทรวงไอซีทีต้องสั่งบล็อกเว็บไซต์ยูทูบอีกครั้งในกลางดึกของวันที่ 3 เมษายน 2550 จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2550 ซึ่งน่าจะถูกบันทึกไว้ว่า เป็นการบล็อกยูทูบที่ต่อเนื่องและยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เพราะกว่าจะเปิดให้ประชาชนเข้าถึงยูทูบอีกครั้ง ก็เมื่อบริษัท กูเกิล เจ้าของยูทูบยอมขอโทษและถอดคลิปดังกล่าวออกจากเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งกินเวลายาวนานถึงเกือบครึ่งปีทีเดียว

นอกจากเว็บไซต์ยูทูบแล้ว ประเภทเว็บบล็อก เว็บคอมมูนิตี้ และเว็บไซต์อื่นๆ ที่กระทรวงเทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศ หรือไอซีทีได้สั่งปิดไปแล้วมีจำนวนนับร้อยเว็บไซต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มีความพยายามในการเผยแพร่เนื้อหาที่หมิ่นต่อพระบรมเดชานุภาพอยู่ในสังคมไทยมิใช่น้อย ขนาดที่ “สิทธิชัย โภไคยอุดม” ในขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ถึงกับออกมายอมรับว่า ลำพังกระทรวงไอซีทีคงไม่สามารถดูแลให้ทั่วถึงได้อย่างแน่นอน

เพราะจนถึงทุกวันนี้เว็บเหล่านี้ก็ยังคงปิด และเปิดใหม่อยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับการต่อสู้ทางความคิด ความเชื่อมั่นของนักวิชาการ ประชาชนบางกลุ่ม และสื่อบางแห่งเป็นระยะๆ

แต่สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมีการต่อสู้คือความเคารพเทิดทูนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่มีต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์”

ตั้งทีมสกัดเว็บหมิ่นฯ
กระบวนการในการดูแลเว็บไซต์ที่ล่อแหลมต่างๆ ของกระทรวงไอซีที เริ่มต้นจากการตรวจสอบโดยหน่วยงาน “ICT COP” กระทรวงไอซีที ตามคำร้องเรียนของประชาชน หรือจากการค้นพบโดยเจ้าหน้าที่ของกระทรวงที่อยู่โยงผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายามตลอด 24 ชั่วโมง หากพบว่าเนื้อหาของเว็บไซต์ใดมีความล่อแหลม เจ้าหน้าที่จะการเจรจากับเว็บมาสเตอร์ของเว็บไซต์นั้น เพื่อขอความร่วมมือในการลบข้อความที่หมิ่นเหม่ออกไป หากไม่ได้รับความร่วมมือ จะนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ศาลสั่งปิดหรือบล็อกการเข้าถึงเว็บไซต์

ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมในการสั่งปิดเว็บไซต์ตามกฎหมายปัจจุบันอาจมีความล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ ทางกระทรวงไอซีทีจึงมีความพยายามในการเสนอกฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสามารถสั่งปิดเว็บไซต์ได้ทันทีที่พบการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และล่าสุดยังได้สั่งซื้อซอฟต์แวร์มูลค่า 3 ล้านบาท เพื่อให้การกลั่นกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เส้นทางขบวนการหมิ่นสถาบันกษัตริย์

ก.พ. 2549
ทักษิณพูดผ่านรายการวิทยุ “นายกฯ คุยกับประชาชน” โดยบอกว่า คนที่จะให้ตนลาออกได้มีคนเดียว คือพระเจ้าอยู่หัว “ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบผม รับสั่งคำเดียว ทักษิณออกเถอะ รับรองกราบพระบาทออกแน่นอน

มิ.ย. 4549
หลังจากพรรคไทยรักไทยถูกอัยการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ทักษิณ กล่าวหาผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นผู้ที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย

พ.ค. 2549
กลุ่มพันธมิตรฯ เปิดเผยว่า เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ที่กลุ่มทักษิณและพวกกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศ จากปัจจุบันที่เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ก.ย. 2549
ทหารปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ด้วยข้อหา “ทักษิณและพวกมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

ม.ค. 2550
คลิปทักษิณออดอ้อนแฟนๆ เริ่มเผยแพร่ในเว็บไซต์ Youtube

มี.ค. 2550
มีคนส่งคลิปวิดีโอหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปโพสต์ไว้ใน Youtube โดยใช้นามแฝงที่หลากหลาย

มิ.ย. 2550
เกิดการรวมตัวของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่ใช้ยุทธศาสตร์โจมตีว่าประธานองคมนตรี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยา

ก.ค. 2550
เกิดการปะทะระหว่างตำรวจกับมวลชนของ นปก. ที่เดินทางไปขับไล่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี

ก.ย. 2550
จักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปก. บรรยายต่อชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ หัวข้อ “ประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ของไทย” ส่งผลให้ถูกดำเนินคดีอาญามาตรา 112 ในเวลาต่อมาว่าด้วยเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

พ.ค. 2551
พันธมิตรฯ รวมตัวกันเพื่อชุมนุมขับไล่รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ขณะที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาตินัดชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวง

ก.ค. 2551
ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” ปราศรัยบนเวทีของกลุ่ม นปช. โดยเนื้อหาที่ปราศรัยเข้าข่าย “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จนถูกจับกุมและถูกศาลตัดสินจำคุกในเวลาต่อมา

ต.ค. 2551
สุชาติ นาคบางไทร แกนนำ นปช. ขึ้นปราศรัยบนเวทีที่ท้องสนามหลวง และถูกดำเนินคดีอาญามาตรา 112 ในเวลาต่อมาว่าด้วยเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

พ.ย. 2551
ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินข้ามประเทศ กล่าวว่า ไม่มีใครสามารถนำตนกลับประเทศได้นอกจากพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพลังของประชาชน