ช่อง True4U ของกลุ่มทรู นับเป็นอีกช่องทีวีดิจิทัล ที่มีความพร้อมเรื่องของ “เงินทุน” โดยที่ผ่านมาได้พยายามในการเข้าชิงชัย ในการผลิตคอนเท้นท์ “ละคร” แต่กลับกลับต้องผิดหวัง จาก“ละคร” ฟอร์มยักษ์ “เจ้าเวหา” ละครชุดสามภาค ฝั่งน้ำจรดฝั่งฟ้า, พิชิตแดนใจ และผู้ครองฟ้า จนกลายเป็น “บทเรียน” สำคัญ สำหรับการเริ่มต้นของ ช่องทีวีน้องใหม่
เวลานั้นได้ผู้จัดและนักแสดงชื่อดัง อย่าง “อั้ม”อธิชาติ ชุมนานนท์, นุ่น”วรนุช ภิรมย์ภัคดี , แอนดริว เกร็กสัน, “แพนเค้ก”เขมนิจ จามิกรณ์, “ติ๊ก” เจษฎาภรณ์ ผลดี และ”ใหม่” ดาวิกา โฮร์เน่ มาร่วมงาน
แต่แล้วโปรเจกต์นี้ ออกอากาศได้เพียงภาคแรกภาคเดียว ได้เรตติ้ง 1.0 ก็ถือว่าสูงสุดแล้ว จากนั้นก็ลดลง เพราะเนื้อเรื่องไม่โดนใจ แถมภาคแรกยังเกิดเรื่องราวฟ้องร้องกันระหว่าง ”นัท มีเรีย” ผู้จัดป้ายแดง และนักแสดง จนคดีก็ยังไม่สิ้นสุด ทำให้ละครซีรีส์นี้ต้องจบลงแค่ภาคแรก ไม่มีภาคต่อตามมา
พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา ผู้ช่วยบริหารงานประธานคณะผู้บริหาร และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านคอนเทนต์และมีเดีย ทรู คอร์ป ยอมรับว่ากรณีโปรเจกต์เจ้าเวหา คือ “บทเรียน” ที่ ”ผิดพลาด” ครั้งสำคัญของทรู ที่ต้องหมดเงินไปกับโปรเจกส์นี้ถึง 50 ล้านบาท และพับโครงการทั้งหมดที่เกี่ยวเจ้าเวหาหมดแล้ว
“เรายอมรับในส่วนที่พลาด แต่เราก็ได้บทเรียน ที่ดี จากความพลาดของเราในช่วงต้นของทำดิจิทัลทีวี ด้วยความที่เป็นช่อง ไม่เคยมีประสบการณ์ทำรายการทีวี และผลิตละครมาก่อน ที่ผ่านมาทรูวิชั่นส์ ก็อยู่ในฐานะผู้ซื้อรายการเป็นหลัก จึงถือว่าเราออกจุดสตาร์ทเราเริ่มช้ากว่าคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในทีวีกันมาก่อนหน้านี้แล้ว”
เมื่อลงรายละเอียด จะพบว่า สิ่งที่เป็นจุดอ่อน คือ production และ script หรือบทละคร ที่ต้องได้รับการพัฒนาต่อไป
แต่ถ้ามองแง่ดี ละคร “เจ้าเวหา” ที่สามารถนำนางเอกพระเอกชื่อดัง ต่างช่องเข้ามาเล่นด้วยกันได้ เป็นครั้งแรก ก็ถือว่า ประสบความสำเร็จในแง่การตลาด ทำให้คนรู้จักช่องน้องใหม่ สร้างให้เกิดเป็นกระแส talk of the town ขึ้นได้ ตั้งแต่เริ่มต้น
นอกจากนี้ ยังทำให้ภาพของกลุ่มทรูเด่นชัดขึ้น ในแง่บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการทำ marketing ผลิตภัณฑ์ จากการนำผลิตภัณฑ์และทุกช่องทางที่กลุ่มทรู มาใช้ในการโปรโมทละคร ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มทรู ที่ไม่ได้เป็นแค่เป็นบริษัทด้านโทรคมนาคม แต่ได้ขยายมาสู่ธุรกิจคอนเทนต์อย่างเต็มตัว
นอกจากนี้ ถึงแม้ละครเรื่องนี้จะไม่”เปรี้ยง”ในตลาดไทย แต่ก็สามารถขายลิขสิทธิ์ละครเรื่องนี้ไปในตลาดภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค มีรายได้กลับมาจนครอบคลุมต้นทุนที่ลงทุนไปทั้งหมด แถมยังมีบางประเทศอย่างเวียดนาม ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์เรื่องที่จะนำไปผลิตใหม่อีกด้วย
ทรู จึงไม่ถอดใจจาก “ละคร” แถมครั้งนี้ นอกจากวางให้เป็นช่องของคนเมืองแล้ว ยังปูทางไปสู่งานระดับ “อินเตอร์” มากขึ้นในอนาคต ด้วยการหันมาร่วมมือกับ ซีเจ อีแอนด์เอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำธุรกิจบันเทิงจากเกาหลีใต้ ตั้งบริษัทร่วมทุนกัน ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์เพื่อร่วมผลิตและจำหน่ายรายการโทรทัศน์แบบครบวงจร โดยตั้งเป้าขยายธุรกิจของบริษัทร่วมทุนนี้สู่ภูมิภาคเอเชีย อาทิ รายการโทรทัศน์, โอทีที ดิจิตอล แพลตฟอร์ม, การจัดอีเวนต์และเฟสติวัล ภายในปี 2563 เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิตรายการและบุคลากรทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังสู่ระดับสากล
พีรธนบอกว่า การร่วมมือกับซีเจ ทำให้ทรู เรียนรู้ประสบการณ์จากเกาหลี เป็น knowledge transfer เพราะซีเจ คือผู้ผลิตซีรีย์เกาหลีดังๆ อย่างเช่น descendent of the sun หรือ รายการเกมส์โชว์อย่าง The mask singer
“ที่เกาหลีใต้ คนเขียนคือคนสำคัญที่สุด ดารานักแสดงดังๆทุกคน เวลาจะตัดสินใจว่าจะเล่นละครหรือหนังเรื่องอะไร จะดูว่าคนเขียนบทคือใคร ซึ่งทรูก็หวังจะเดินรอยตามซีเจ โดยจะพัฒนาให้ไทยเป็นแบบเกาหลีให้ได้ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มโปรเจกต์ละครใหม่แล้ว
แม้พีรธน จะไม่เปิดเผยว่ารายละเอียดของละครเรื่องใหม่ แต่ก็หลุดมาในโลกโซเชียลแล้วว่า ทรูฟอร์ยูจะนำเอาเรื่อง “Oh my ghost“ ซีรี่ส์เกาหลีชื่อดังมาทำละครในแบบละครไทย โดยได้ดาราดังอย่าง เป้ อารักษ์ และหนูนา หนึ่งธิดา เป็นพระนางในเรื่องนี้
ละคร ที่เกิดจากการร่วมมือกับ ซีเจ อีแอนด์เอ็ม คอร์ปอเรชั่น จะออนแอร์ในปีหน้า โดยที่ ช่องทรูฟอร์ยู ยังคงถูกวางให้เป็น ช่องสำหรับคนเมือง
เรายืนยันว่า ทรูวิชั่น จะยังคงทำละครต่อไป ให้คอยดูในปีต่อไป จะมีละครดีๆ ออกมาต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้เวลา
แต่ที่แน่ๆ ในปีนี้ทรูทุ่มทุนให้กับภาพยนตร์ซีรี่ส์อิงประวัติศาสตร์ “ศรีอโยธยา” ซึ่งจะออนแอร์ในวันที่ 5 ธันวาคม เป็นการเปิดศักราชใหม่ของช่องทรู ที่จะนำเสนอผ่านทุกสื่อของเครือ หลังจากนั้นทุกคนก็จะเห็นละครฟอร์มใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
พีรธน บอกว่า ในปีหน้าทรูจะออกสตาร์ทอีกครั้ง กับผังรายการเต็มเหยียดชนิดไม่มี “ช่องว่าง” แล้ว เขายังการันตีด้วยว่า “ภายในปีหน้าทรู จะต้องกลับขึ้นมาเป็น Top 5 ของดิจิทัลทีวี และเป็น Top 3 ภายในปีถัดไป