“คอตตอน ยูเอสเอ” ผนึกกำลัง “ซีเอ็มจี” รุกตลาดยีนส์ไตรมาสสุดท้าย เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ร่วมกับสามแบรนด์ดัง “ลี” “ลี คูเปอร์” และ “แรงเลอร์”

คอตตอน ยูเอสเอ (COTTON USA™) เดินหน้าตอกย้ำคุณภาพของเส้นใยฝ้ายจากสหรัฐอเมริกาในฐานะ “ฝ้ายที่ทั่วโลกไว้วางใจ” ล่าสุดจับมือพันธมิตรยักษ์ใหญ่ “เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป” หรือซีเอ็มจี (CMG) รุกทำตลาดยีนส์ในช่วงไตรมาสสุดท้าย ตอบรับกระแสความนิยมในผลิตภัณฑ์ยีนส์ที่ไม่เคยตกยุค เปิดตัวคอลเลคชั่นพิเศษ “CMG x Cotton Incorporated x COTTON USA™”ร่วมกับสามแบรนด์ไลเซนซีชื่อดัง “ลี” “ลี คูเปอร์” และ “แรงเลอร์” พร้อมชูจุดเด่นการนำเทคโนโลยีเสื้อผ้าระดับโลกมาเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานในเสื้อยืด และกางเกงยีนส์ซึ่งเป็นผ้าฝ้าย เอาใจผู้บริโภคที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผ้าเดนิม พร้อมจัดกิจกรรมทางการตลาดแบบครบวงจร ภายใต้งบการตลาดกว่า 60 ล้านบาท ตั้งเป้า   ยอดขายสินค้าคอลเลคชั่นนี้เติบโตขึ้น 5% จากคอลเลคชั่นสปริง/ซัมเมอร์

คุณไกรภพ แพ่งสภา ตัวแทนคอตตอน ยูเอสเอ ในกลุ่มประเทศอาเซียน กล่าวว่า”ฝ้ายจากสหรัฐอเมริกาได้รับการยอมรับจากทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคในฐานะ “ฝ้ายที่ทั่วโลกไว้วางใจ” เพราะฝ้ายจากสหรัฐอเมริกามีคุณภาพที่เสมอต้นเสมอปลาย มีความยั่งยืน และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนจากเกษตรกรผู้ปลูกฝ้ายที่ปลูกด้วยความใส่ใจในทุกขั้นตอนของการเพาะปลูก ทำให้ฝ้ายจากสหรัฐอเมริกาถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเป็นเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และของใช้ในบ้านหลากประเภท โดย “ผลิตภัณฑ์ยีนส์”เป็นหนึ่งในสินค้าที่ผลิตจากฝ้าย 100% ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของผลสำรวจ Global Lifestyle Monitor ในปี 2559 ระบุว่าผู้บริโภคคนไทยกว่า 79% มองว่า ยีนส์เหมาะสมที่จะเป็นเสื้อผ้าแฟชั่น และกว่า 41% ชื่นชอบกางเกงยีนส์ และเสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้ายีนส์มากกว่าเสื้อผ้าแบบอื่น นอกจากนี้ยังพบว่าผู้บริโภคคนไทยมีไอเท็มยีนส์เฉลี่ยคนละไม่ต่ำกว่า 10 ตัว และมีการสวมใส่บ่อยถึง 98% ซึ่งจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าแฟชั่นยีนส์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคคนไทย”

และเพื่อเป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพของเส้นใยฝ้ายจากสหรัฐอเมริกา และตอบรับกระแสความนิยมผลิตภัณฑ์ยีนส์ในกลุ่มผู้บริโภคคนไทย คอตตอน ยูเอสเอจึงได้ร่วมมือกับบริษัท เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจมากว่า 10 ปี ที่ประกอบไปด้วยสามแบรนด์ไลเซนซีในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยีนส์ ได้แก่ ลี (Lee) ลี คูเปอร์ (Lee Cooper) และแรงเลอร์ (Wrangler) เปิดตัวคอลเลคชั่นพิเศษ “CMG x Cotton Incorporated x COTTON USA™” โดยมีการนำเทคโนโลยีบนผ้าฝ้ายจากคอตตอน อินคอร์ปอเรท องค์กรที่เป็นผู้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมบนผ้าฝ้าย มาประยุกต์เข้ากับคอลเลคชั่นดังกล่าว เพื่อเพิ่มคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ยีนส์ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น  นำโดย แบรนด์ลี ใช้เทคโนโลยีวิคกิ้ง วินโดวส์ (Wicking Windows™) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความชื้นได้ดีขึ้นถึง 1,400% และลดความเหนียวติดตัวได้ถึง 50% จากผ้าปกติและเทคโนโลยี  ทรานส์ดราย (TransDRY™) เป็นนวัตกรรมที่มีการ   จดสิทธิบัตร โดยเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้กางเกงยีนส์แห้งเร็วกว่ากางเกงยีนส์ทั่วไปถึง 33%  แบรนด์ลี คูเปอร์ใช้เทคโนโลยี ทัฟ คอตตอน (TOUGH COTTON™) ที่ป้องกันรอยขีดข่วนและการถลอกจากการเสียดสีและยังคงสภาพสียีนส์ได้นานขึ้น ช่วยเพิ่มความทนทานและสวมใส่สบายให้กับกางเกงยีนส์ และ แบรนด์แรงเลอร์ (Wrangler) ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมยีนส์สะท้อนน้ำ สเตย์ ดราย (Stay Dry) ซึ่งมีพื้นฐานมาจากนวัตกรรมสตอร์ม เดนิม (STORMDENIM™) มีคุณสมบัติในการป้องกันละอองน้ำทุกประเภท ทั้งฝน ละอองน้ำจากการเดินทาง (Water Repellent) ซึ่งน้ำไม่สามารถซึมผ่านกางเกงได้ ทำให้ไม่เปียก และสวมใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี และยังคงสามารถซักได้เหมือนปกติ

“ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นความร่วมมือของไลเซนซีตั้งแต่กลุ่มอุตสาหกรรมต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ โดยไลเซนซีกลุ่มโรงงานเป็นผู้พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีบนเนื้อผ้าจากคอตตอน อินคอร์ปอเรทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคุณสมบัติของผ้าฝ้ายรวมถึงผ้าเดนิมให้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ บริษัท แอตแลนติก มิลล์ ผู้ผลิตผ้ายีนส์แนวหน้าของประเทศไทย เป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี ทรานส์ดราย บริษัท ไทยสินดี เทรดดิ้ง ผู้ผลิตผ้ายืดเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี วิคกิ้ง วินโดวส์ และบริษัทตะวันการฟอกพัฒนาเทคโนโลยี ทัฟ คอตตอน และสเตย์​ดราย โดย ไลเซนซีกลุ่มแบรนด์ที่เป็นผู้นำด้านเสื้อผ้ายีนส์ ได้แก่ ลี ลี คูเปอร์ และแรงเลอร์ เป็นผู้นำผ้ายีนส์ที่ผสานเทคโนโลยีดังกล่าวมาออกแบบ และตัดเย็บให้เป็นคอลเลคชั่นพิเศษนี้เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และทำให้สินค้าดังกล่าวมีความเป็นแฟชั่นและฟังก์ชั่นมากขึ้น” คุณไกรภพ กล่าวทิ้งท้าย

คุณนันทพร ประเสริฐบดินทร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แบรนด์ลี ในกลุ่มบริษัท เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป จำกัด หรือซีเอ็มจี กล่าวว่า “ในฐานะแบรนด์ที่วางกลยุทธ์หลักมุ่งสู่การเป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมเครื่องแต่งกาย ทำให้ “แบรนด์ลี” ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านเครื่องแต่งกายให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง อาทิ การสร้างความแตกต่างท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดยีนส์ด้วยการขยายช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยีนส์ “ลี” ในตู้คีออสก์ หรือเครื่องขายเสื้อผ้าอัตโนมัติเป็นครั้งแรกในไทย และการเปิดตัวเสื้อยืดที-เชิ้ตเทคโนโลยีวิคกิ้ง วินโดวส์ (Wicking Windows™) นวัตกรรมบนผ้าฝ้ายสำหรับคอลเลคชั่น ลี เออร์เบิน ไรเดอร์ส (Lee Urban Riders) ในปีที่ผ่านมา”

“คอลเลคชั่นพิเศษนี้เป็นการสานต่อคอนเซปท์ “RE/DISCOVERWORKLIFE” ที่คนรุ่นใหม่มองว่าการทำงานในยุคนี้คือการได้ทำในสิ่งที่รักและตนเองใฝ่ฝัน (Passion) ในสไตล์Work & Play ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองในปัจจุบันที่มีวิถีในการทำงานเปลี่ยนไปจากที่เคยต้องนั่งอยู่แต่ในออฟฟิศ ก็เริ่มมีแรงบันดาลใจใหม่ๆ ที่จะออกไปเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ หรือ Co-Working Space คอลเลคชั่นนี้จึงเป็นเสื้อผ้าแนวสปอร์ตแฟชั่นสำหรับหนุ่มๆ ยุคมิลเลนเนียล วัย 25 ปีขึ้นไป ที่ชื่นชอบเสื้อผ้าที่มีความคล่องตัวสำหรับการใส่ไปทำงาน และใส่ไปเที่ยวในชุดเดียวกัน โดยมีคีย์ไอเท็มหลักอย่าง เสื้อยืดที่ใช้เทคโนโลยีวิคกิ้ง วินโดว์ (Wicking Windows™) ที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นของเสื้อยืดคือช่วยระบายความชื้นได้ดีกว่า แห้งเร็วกว่า ทำให้รู้สึกสบาย และ   ลดความเหนียวติดตัวได้ โดยสามารถซื้อได้แล้ววันนี้ในราคา 990บาท และผลิตภัณฑ์กางเกงยีนส์ที่ได้นำเทคโนโลยี ทรานส์ดราย (TransDRY™) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความชื้นบนผ้าเดนิมได้ดีกว่าและแห้งเร็วกว่าผ้ายีนส์ปกติ และทำให้รู้สึกสบาย และคล่องตัวยิ่งขึ้น ซึ่งจะวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ในราคา 1,990 – 2,490 บาท”

คุณสุดาทิพย์ แสงประเสริฐ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แบรนด์ ลี คูเปอร์ และ แรงเลอร์ ในกลุ่มบริษัท เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป จำกัด หรือซีเอ็มจี กล่าวว่า “ลี คูเปอร์เป็นแบรนด์แฟชั่นยีนส์สุดฮิปจากเกาะอังกฤษ มีกลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุระหว่าง 18 – 24 ปี มีแนวคิดล้ำสมัย และไม่ยึดติดอยู่กับกรอบเดิมๆ โดยแนวทางการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของลี คูเปอร์ทั่วโลกจะถูกสื่อสารภายใต้แนวคิด “เมด ทู บี ดิฟเฟอร์เรนท์ – Made To Be Different” ที่ลี คูเปอร์ต้องการสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะเผยความเป็นตัวเองในแบบที่แตกต่าง สำหรับในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ลี คูเปอร์ยังคงนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงแนวคิดดังกล่าว และได้เพิ่มเทคโนโลยีเข้าไปในผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยมีคีย์ไอเท็มหลัก ได้แก่ “กางเกงยีนส์สกินนี่ทรงเฮนรี่” (Henry)ของสุภาพบุรุษ และ “กางเกงยีนส์เข้ารูปทรงเพิร์ล” (Pearl) ของสุภาพสตรีที่มีการผสมผสานเทคโนโลยีทัฟ คอตตอน (TOUGH COTTON™) นวัตกรรมยีนส์ป้องกันรอยขีดข่วน ลดการถลอก และทำให้สีคงสภาพได้นานขึ้น เพิ่มความทนทานให้กับกางเกงยีนส์โดยกางเกงยีนส์คอลเลคชั่นนี้วางจำหน่ายแล้วในราคา 2,190 – 2,390 บาท นอกจากนี้คอลเลคชั่นดังกล่าวยังมีเสื้อเชิ้ตผ้ายีนส์ และเสื้อยืดพิมพ์ลายที่ได้รับเกียรติจาก ฐกฤต ครุธพุ่ม หรือ OCTOBER 29 (ออคโทเบอร์ ทเวนตี้ไนน์) ศิลปินสุดแนวเจ้าของงานศิลปะสไตล์กราฟิตี้ มาร่วมออกแบบลายเสื้อยืดในคอลเลคชั่นดังกล่าวจำนวน 10 ลาย ที่สะท้อนการก้าวข้ามจากขนบแบบเดิมๆ ตามแบบฉบับของลี คูเปอร์ โดยเสื้อยืดจะจำหน่ายในราคา990 บาท”

“สำหรับแรงเลอร์ แบรนด์เครื่องแต่งกายยีนส์สัญชาติอเมริกัน ปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายของแรงเลอร์ คือ กลุ่มผู้ชาย 70% ผู้หญิง 30% ที่มีไลฟ์สไตล์รักอิสระ ชอบการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อค้นหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเองอยู่เสมอ โดยทางแบรนด์ได้วางกลยุทธ์ทางการตลาดไว้สองอย่าง ได้แก่ กลยุทธ์แรกจะเน้นขยายฐานกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้ในแบรนด์ให้กว้างขึ้น อาทิ การจัดแคมเปญ ‘แรงเลอร์  ทรู วันเดอเรอร์’ (Wrangler True Wanderer) จากแคมเปญดังกล่าวทำให้แบรนด์สามารถขยายฐานของลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มไบค์เกอร์ และผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางให้รู้จักกับแบรนด์ และเกิดการทดลองสินค้าของแรงเลอร์ได้มากยิ่งขึ้น

และสำหรับกลยุทธ์ที่สอง แรงเลอร์ ยังคงมุ่งเน้นสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการพัฒนาสินค้าให้มีนวัตกรรมที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว และสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความต้องการของผู้บริโภคที่แท้จริง เราจึงได้สร้างสรรค์เครื่องแต่งกายยีนส์ ภายใต้ชื่อกลุ่มสินค้า “เดนิม เพอร์ฟอร์แมนซ์” (Denim Performance) ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องดีไซน์ และฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะกับการเดินทางในทุกรูปแบบ สินค้าในคอลเลคชั่นพิเศษนี้จึงมาพร้อมกับนวัตกรรมยีนส์สะท้อนน้ำ สเตย์ ดราย (Stay Dry) ซึ่งมีพื้นฐานมาจากนวัตกรรม สตอร์ม เดนิม (STORM DENIM™) มอบคุณสมบัติในการสะท้อนน้ำ โดยน้ำจะไม่สามารถซึมผ่านกางเกงยีนส์ได้ ทำให้ผ้าด้านในแห้ง จึงเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับนักเดินทางที่พร้อมลุยได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเปียก และสวมใส่สบาย เพราะยังคงคุณสมบัติการระบายอากาศได้ดีของผ้าฝ้ายไว้ อีกทั้งยังมาพร้อมกับสไตล์อันโดดเด่นด้วยดีไซน์ และโทนสีเทา สีดำ และความทนทานตามแบบฉบับกางเกงยีนส์ของแรงเลอร์ นำเสนอในคีย์ไอเท็มหลักอย่างกางเกงยีนส์ทรงสลิมอย่างสเปนเซอร์ (Spencer) โดยจะวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมนี้ ในราคา 1,990 – 3,290 บาท นอกจากนี้ยังมีกางเกงยีนส์สกินนี่ทรงใหม่อย่างไบรซัน (Bryson) สำหรับสุภาพบุรุษ​ กางเกงยีนส์ทรงสกินนี่สำหรับสุภาพสตรีอย่าง อเล็ค (ALEC) ชุดเอี๊ยมทรงคลาสสิค ไอเท็ม must-have อย่างเสื้อเชิ้ตยีนส์ และเสื้อยืดทั้งแขนสั้นและแขนยาว    ที่ได้เริ่มวางจำหน่ายแล้วในราคา 890 – 3,290 บาท”

“สำหรับงบการตลาดในการเปิดตัวคอลเลคชั่นนี้ คอตตอน ยูเอสเอ และซีเอ็มจีใช้งบประมาณรวมกว่า 60 ล้านบาท เพื่อทำการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะการโปรโมทผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศที่มีกว่า200 แห่ง รวมถึงสื่อออนไลน์ และช่องทางช้อปปิ้งออนไลน์ชั้นนำ ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่ายอดขายคอลเลคชั่นใหม่นี้จะเติบโตขึ้น 5% เมื่อเทียบกับ คอลเลคชั่นสปริง/ซัมเมอร์ ในขณะที่ภาพรวมตลาดสินค้ายีนส์ในประเทศไทยในปัจจุบันมีมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท เนื่องจากปริมาณความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบการสวมใส่กางเกงยีนส์ จึงทำให้มีแบรนด์เกิดขึ้นในตลาดเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นแบรนด์ไทยและจากต่างประเทศ ในส่วนของแบรนด์ “ลี” “ลี คูเปอร์” และ “แรงเลอร์” นับเป็นแบรนด์อันดับต้นๆ ที่มุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีส้ำสมัยไปสู่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง” คุณสุดาทิพย์ กล่าวทิ้งท้าย