Google เผยผลวิจัย ผลประทบการให้บริการด้าน Google Maps ที่ทำร่วมกับ AlphaBeta ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ ถึงผลกระทบของอุตสาหกรรมข้อมูลภูมิสารสนเทศ (ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์) จากผู้บริโภคใน 22 ประเทศครอบคลุม 6 ภูมิภาค พร้อมทั้งใช้วิธีการประมาณค่าอื่นๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ของการโพสต์งานออนไลน์ และพบว่าบริการข้อมูลภูมิสารสนเทศมีประโยชน์ใน 3 ส่วนหลัก ดังนี้
1. ผู้บริโภคลดเวลาเดินทาง 9-12%
แผนที่ช่วยให้ผู้คนสามารถเดินทางและเลือกซื้อสินค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น
- ช่วยลดเวลาในการเดินทางในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกลง 12% และ 9% สำหรับการเดินทางในประเทศไทย
- ผู้บริโภคสามารถประหยัดเวลาได้มากกว่า 21 พันล้านชั่วโมงต่อปี จากการซื้อสินค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านข้อมูลที่มีอยู่บนแผนที่ดิจิทัล เช่น เส้นทางในการเดินทางไปยังร้านค้าและการมีพร้อมของสินค้า
- 63% ของผู้ตอบแบบสำรวจของเราใช้แผนที่ดิจิทัลเพื่อวางแผนเส้นทางที่ปลอดภัยในพื้นที่ที่พวกเขาไม่รู้จัก
2. สร้างยอดขายให้ธุรกิจ1 ล้านล้านดอลลาร์
แผนที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่ปรากฏให้ผู้คนเห็น มีประสิทธิผล และสร้างผลกำไรได้มากขึ้น
- ช่วยสร้างยอดขายให้กับธุรกิจต่างๆ มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ เช่น เวลาให้บริการ ข้อมูลการติดต่อและความคิดเห็นจากลูกค้า ช่องทางการตลาดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่อาจพบลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเพิ่ม
- บริการข้อมูลภูมิสารสนเทศมีบทบาทเชิงกลยุทธ์ในการช่วยบริษัทเพิ่มรายได้ และ/หรือลดต้นทุน (มากถึง 5%) ตัวอย่างเช่น บริษัทค้าปลีกใช้แผนที่ดิจิทัลสำหรับการวิจัยตลาดและระบุสถานที่ที่มีกำไรมากที่สุดสำหรับเครือข่ายร้านค้าของตน ทั้งนี้ 15% ของแอปพลิเคชันชั้นนำในตลาดหลักๆ ได้รับการขับเคลื่อนหรือเปิดใช้งานโดยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ
3. สร้างงานในไทยไทย 5 พันตำแหน่ง
แผนที่มีผลกระทบในเชิงบวกต่อสภาพแวดล้อมและสังคมทั่วโลก
- ช่วยสร้างงานทั่วโลกได้โดยตรงประมาณ 4 ล้านตำแหน่ง ในจำนวนนี้เป็นงานในประเทศไทย โดยเฉพาะ 5,000 ตำแหน่ง และมากกว่า 8 ล้านตำแหน่งทั่วโลกโดยทางอ้อม
- การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากยานพาหนะอาจลดลงได้ 1,686 ล้านเมตริกตัน จากการเดินทางด้วยยานพาหนะที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการขนส่งทางเลือกต่างๆ ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยแผนที่ดิจิทัล
- ในบางประเทศ เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศสามารถลดเวลาในการรับมือเหตุฉุกเฉินได้ถึง 20% นอกจากนี้ยังสามารถช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ เช่น การเน้นพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย
