บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (“MC” หรือ “บริษัทฯ”) ประกาศยอดขายไตรมาส 3 ปี 2560 ที่ 903 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 และสำหรับเก้าเดือนแรกของปี 2560 ที่ 3,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯสามารถเติบโตยอดขายท่ามกลางสภาวะการจับจ่ายใช้สอยที่ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดค้าปลีก การปรับตัวลดลงของราคาสินค้าเกษตร และผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ลดลงร้อยละ 28.5 มาอยู่ที่ 94 ล้านบาท และสำหรับงวดเก้าเดือนแรกลดลงร้อยละ 20.9 มาอยู่ที่ 416ล้านบาท
นายบัณฑิต ประดิษฐ์สุขถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและบัญชี เปิดเผยว่า “สำหรับธุรกิจโดยรวมของบริษัทฯในไตรมาส 3 ปี 2560 บริษัทฯสามารถเติบโตยอดขายร้อยละ 13.9 ผ่านช่องทางร้านค้าของตนเอง ห้างสรรพสินค้าที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ ห้างค้าปลีกประเภทซุปเปอร์สโตร์ และช่องทางการขายอื่น ในขณะที่ยอดขายต่อร้านเดิมโดยรวมลดลงร้อยละ 9.0 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการลดลงชั่วคราวของรายได้จากห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นในต่างจังหวัด
ตลอดช่วงเก้าเดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทฯมีการเปิดและปิดจุดจำหน่ายในหลายพื้นที่ โดยมียอดลดลงสุทธิเป็นจำนวน 18 แห่งจากสิ้นปี 2559 โดยการลดลงส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการปิดจุดจำหน่ายในประเทศพม่าตามแผนการปรับโปรแกรมตัวแทนจำหน่ายต่างประเทศตั้งแต่ต้นปี และการรวมและย้ายจุดขายเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
นายบัณฑิต ประดิษฐ์สุขถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและบัญชี กล่าวเพิ่มเติมว่า “กำไรขั้นต้นของบริษัทฯ สำหรับไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 52.4 โดยลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 55.0 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลให้กำไรขั้นต้นของบริษัทฯในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2560 ลดลงจากร้อยละ 53.6 จากปีก่อนเป็นร้อยละ 51.4 ในปีปัจจุบัน อันเนื่องจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการจัดสรรสินค้าราคาพิเศษไปยังจุดจำหน่ายเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่องทางค้าปลีกและค้าส่ง อย่างไรก็ตามอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯในไตรมาส 3 ปี 2560 มีการเติบโตที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2560 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 51.0
บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 94 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28.5 จากไตรมาส 3 ปี 2559 และสำหรับเก้าเดือนแรกของปี บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 416 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอัตรากำไรสุทธิของบริษัทลดลงจากร้อยละ 14.9 ในไตรมาส 3 ปี 2559 เหลือร้อยละ 10.4 ในไตรมาส 3 ปี 2560 และลดลงจากร้อยละ 17.2เหลือร้อยละ 13.5 สำหรับเก้าเดือนแรกของปี 2560 โดยมีสาเหตุสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขาย”
นางสาวเพียงขวัญ สีสุทธิโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจและการขาย กล่าวว่า “กลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 คือ การเปิดจุดจำหน่ายประมาณ 16 แห่ง ทั้งในส่วนของร้านค้าปลีกของตนเองและห้างค้าปลีกสมัยใหม่ รวมถึงการขยายจุดขายเดิม (Enlargement) และย้ายจุดขาย (Relocate) ประมาณ 17แห่งเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัทฯและศูนย์การค้า นอกจากนี้บริษัทฯมีแผนที่จะเริ่มใช้ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management Program) ในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และจัดการสิทธิประโยชนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ทางบริษัทฯได้ปรับปรุงเว็บไซต์ mcshop.com ให้มีจุดเด่น และ feature ที่น่าสนใจหลายอย่างรวมถึงหน้าblog ที่สวยงามเป็นสัดส่วนเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ช๊อปปิ้งออนไลน์ได้อย่างสนุกและสะดวกสบาย สำหรับแผนส่งเสริมการขายในช่วงปลายปี ได้มีการเตรียมคอลเลคชั่นยอดนิยม ผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม และโปรโมชั่นให้ลูกค้าได้จับจ่ายใช้สอบได้อย่างคุ้มค่าและสนุกเช่นเดิม โดยได้เตรียมแผนรองรับฤดูแห่งการท่องเที่ยวและมอบของขวัญ ตลอดจนมาตรการช๊อปช่วยชาติของรัฐบาลที่จัดขึ้นเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงสิ้นปี”
เกี่ยวกับ บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารการจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า (“แบรนด์”) ของกลุ่มบริษัทเป็นหลัก โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการช่องทางการจัดจำหน่าย ในปัจจุบันแบรนด์ของกลุ่มบริษัทประกอบด้วย แบรนด์Mc, Mc Lady, Bison, Mc mini, The Blue Brothers, mc mc, McT, UP และ M&C ซึ่งแต่ละแบรนด์มีจุดเด่น และดีไซน์ที่แตกต่างกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
นอกจากนี้แล้ว กลุ่มบริษัทมีการจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ทั่วไป ผ่านเครือข่ายการจัดจำหน่ายของ บริษัท ไทม์ เดคโค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งบริษัทได้เข้าลงทุนและถือหุ้นอยู่ 51%
โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 บมจ. แม็คกรุ๊ป จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายรวม 875 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศไทย 863 แห่งและต่างประเทศ 12 แห่ง