ถือว่ากลับมาเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจอีกครั้งของแอปเปิล กับการเปิดจอง iPhone X ผ่านทั้ง 3 ผู้ให้บริการเครือข่ายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนดีเดย์วางจำหน่ายในวันนี้ (24 พ.ย.) ทั้งช่องทางโอเปอเรเตอร์ หน้าร้านค้าปลีก และช่องทางออนไลน์บนแอปเปิลสโตร์
ผลตอบรับที่เห็นได้จากการเปิดจอง แม้ว่าจะมีการชำระเงินมัดจำล่วงหน้า 5,000 บาท ในตอนที่กดจองผ่านหน้าเว็บไซต์ ก็ยังเกิดอาการหน้าเว็บล่ม และสินค้าหมดในระยะเวลาหลังเปิดจองไม่นาน โดยบางรายหมดตั้งแต่ไม่ถึง 10 นาทีแรก ก่อนลูกค้าชำระเงินแล้วเสร็จภายใน 30 นาที และบางรายมียอดจองเข้ามาเกินความคาดหมายจนต้องมีการเพิ่มสต๊อกสินค้าสำหรับสั่งจอง
ผิดกับช่วงการเปิดจอง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่กว่าจะหมดครบทุกรุ่น ทุกสีก็ใช้เวลาสักพัก แต่ขณะเดียวกัน เมื่อถึงวันวางจำหน่ายก็มีเครื่องเข้ามาเติมสต๊อกที่หน้าร้านอย่างต่อเนื่อง จนไม่เกิดอาการของขาดเหมือนรุ่นก่อน ๆ
กลับกัน ในส่วนของ iPhone X ผู้บริโภคต่างรับรู้ว่าเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง ในต่างประเทศยังต้องรอการจัดส่งสินค้าไม่ต่ำกว่า 2-3 สัปดาห์ หากสั่งผ่านช่องทางออนไลน์ของแอปเปิล ซึ่งคาดว่าในประเทศไทยก็จะไม่ต่างกันมากนัก
ราคาโอเปอเตอร์ลดเยอะ ผ่อนได้นาน แลกกับใช้แพกราคาสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน การทำราคาร่วมกับแพกเกจของโอเปอเรเตอร์ พร้อมการทำโปรโมชั่นผ่อน 0% ก็เป็นจุดที่ทำให้ผู้บริโภคให้ความสนใจ iPhone X กันมากขึ้น โดยทั่ว ๆ ไป ลูกค้ารายเดือนจะใช้งานแพกเกจในระดับราคาประมาณ 599-699 บาท ซึ่งถ้าเทียบกับส่วนลดค่าเครื่องที่ได้ 4,000 บาท ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่พอรับได้
กลับกัน ถ้าเป็นกลุ่มพาวเวอร์ยูสเซอร์ หรือลูกค้าที่ใช้งานโทรศัพท์เยอะ ทั้งโทร. และเล่นเน็ต หากขยับขึ้นไปใช้งานแพกเกจระดับ 1,099 บาทขึ้นไป ก็จะได้ส่วนลดค่าเครื่องถึง 7,000 บาท โดยในจุดนี้ผู้บริโภคควรคำนึงถึงแพกเกจที่ใช้งานเป็นหลักมากกว่า เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
ไม่ใช่มองถึงส่วนลดค่าเครื่อง แต่ต้องจ่ายค่าแพกเกจที่แพงขึ้น แล้วใช้งานได้ไม่คุ้มค่า เพราะการใช้งานแพกเกจเหล่านี้จะติดสัญญาในการใช้งาน 6 เดือน-1 ปี ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแพกเกจก็จะโดนเรียกเก็บส่วนลดค่าเครื่องคืน ทำให้สุดท้ายแล้วผู้บริโภคเสียประโยชน์
ที่สำคัญ ต้องดูเข้าไปถึงรายละเอียดของแพกเกจที่ให้ด้วย เพราะบางรายในราคาแพกเกจ 1,099 บาท ถ้าไปใช้งานกับแพกเกจอื่นจะได้เล่นเน็ต 4G ไม่จำกัด แต่พอมาเป็นโปรซื้อไอโฟนพร้อมแพกเกจ กลับให้ใช้งาน 4G แค่ 16 GB ดังนั้น จึงควรศึกษารายละเอียดตรงนี้เพิ่มเติมด้วย
ส่วนเรื่องการผ่อนชำระ ในรอบนี้จะได้เห็นการทำโปรโมชั่นกับบัตรเครดิตให้ผ่อนสูงสุดถึง 36 เดือน ซึ่งก็ต้องดูว่าใช้งานได้กับบัตรใด แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นธนาคารหลัก ๆ ก็จะยึดอยู่ที่ 0% 10 เดือน และบางธนาคารก็จะมีทำโปรโมชั่นเงินคืนเพิ่มเติม 2-3% ให้เลือกด้วย
***Face ID เตรียมตัวมาดี และยังไม่มีใครเหมือน
ถ้ามองถึงความสามารถที่เป็นจุดแข็งหลักจริง ๆ และในฝั่งแอนดรอยด์ยังไม่มีใครทำได้แม่นยำเท่าของ iPhone X คงหนีไม่พ้น Face ID ที่แอปเปิล มองว่าเป็นรูปแบบของระบบรักษาความปลอดภัยยุคใหม่ ที่ให้ความสะดวกมากกว่าการใช้งานสแกนลายนิ้วมือเดิม (Touch ID) ที่ใช้ความแข็งแรงของอีโคซิสเตมส์มาช่วยในการผลักดัน
แน่นอนว่า คำถามหลักที่เกิดขึ้น คือ Face ID ปลอดภัยแค่ไหน ท่ามกลางข้อมูลที่ออกมาหลังจาก iPhone X เริ่มวางจำหน่ายในต่างประเทศ คือ การที่ตัวเครื่องถูกปลดล็อกได้จากฝาแฝด หรือญาติพี่น้องที่มีเค้าโครงหน้าเหมือนกัน หรือแม้แต่การที่เกาหลีใต้ ประกาศว่ายังไม่ยอมรับ Face ID ให้มาใช้ในการทำธุรกรรม
ในความเป็นจริง แอปเปิล มองว่า Face ID เป็นเหมือนตัวช่วยในระบบรักษาความปลอดภัยที่จะทำงานควบคู่กับการใส่รหัส (Passcode) เหมือนการยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน (2 step verification) ที่เมื่อตัวเครื่องไม่แน่ใจว่า ใบหน้านี้ใช่เจ้าของเครื่องไหม ก็จะทำการถามรหัสผ่านเพื่อที่จะเรียนรู้ใบหน้าเพิ่มเติม
เช่นเดียวกับในกรณีที่ถามว่า ถ้าเครื่องโดนขโมย หรือโดนบังคับให้ปลดล็อกเครื่อง ในจุดนี้ Face ID จะทำงานก็ต่อเมื่อเจ้าของเครื่องมองหน้าจอ ถ้าไม่มองก็จะไม่ปลดล็อก ถ้าเทียบกับการสแกนลายนิ้วมือที่แค่นำนิ้วมือไปสัมผัส เซ็นเซอร์ก็จะปลดล็อกเครื่องทันที จึงถือว่าปลอดภัยกว่าอยู่แล้ว
แต่แน่นอนว่า สุดท้ายถ้าโดนบังคับให้ใส่รหัสข้อมูลทุกอย่างก็โดนขโมยไปได้อยู่ดี ไม่ต่างกันว่าจะใช้การป้องกันในรูปแบบใด อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ Face ID ทางแอปเปิลก็จะมีข้อแนะนำในเบื้องต้นอยู่แล้วว่า ถ้ามีฝาแฝดเหมือน หรือถ้ายังเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 13 ปี ก็ยังไม่ควรใช้งาน Face ID เป็นหลัก เพราะโครงหน้ายังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่
นอกจากเรื่องการปลดล็อกเครื่องแล้ว ที่ Face ID เข้ามาทำหน้าที่แทนแล้วก็ยังถูกนำไปใช้อย่างการชำระเงินในการดาวน์โหลดแอปเพื่อติดตั้ง จากเดิมที่ใช้การกรอกรหัสผ่านของ Apple ID ร่วมกับการใช้ Touch ID พอมาเป็น iPhone X การชำระเงินก็ถูกเปลี่ยนเป็น Face ID แทน ด้วยการกดปุ่มข้างเครื่อง 2 ครั้ง เพื่อยืนยันการชำระเงิน
ที่ต้องจับตาดูต่อจากนี้ คือ การที่แอปเปิลจะต้องผลักดันเทคโนโลยี TrueDepth เพื่อให้นักพัฒนานำไปใช้ และพัฒนาแอปพลิเคชันที่ดึงความสามารถของการเป็นกล้องที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ในการตรวจจับเค้าโครง การเคลื่อนไหวต่าง ๆ เพราะยังถือเป็นเทคโนโลยีของอนาคต ที่กว่าจะแพร่หลายคงใช้เวลาอีก 2-3 ปี
***กล้องยังไม่สุด รอความสมบูรณ์ของ Portrait Light
แม้ว่า iPhone X จะชูเรื่องของกล้องคู่พร้อมระบบกันสั่นคู่มาให้ใช้งานกัน แต่เนื่องจากปัจจุบันในฝั่งของแอนดรอยด์ ในเครื่องระดับไฮเอนด์ของทุกแบรนด์ต่างมาพร้อมกับกล้องคู่ในลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน ดังนั้น ในเรื่องของกล้องถ่ายภาพจึงยังไม่ใช่จุดที่ทำให้ iPhone X โดดเด่นออกมาเหนือคู่แข่งได้
ประกอบกับการที่ฟีเจอร์ใหม่อย่าง Portrait Light ยังอยู่ในช่วงเบต้าอยู่ ทำให้ภาพที่ได้จากการถ่ายหน้าชัด หลังเบลอใน iPhone X รวมถึงบน iPhone 8 Plus จึงยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่เชื่อว่า แอปเปิลเองก็ทราบข้อผิดพลาดนี้ และกำลังปรับปรุงอยู่ แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลให้ AI ช่วยนำไปประมวลผลเพื่อให้การแยกวัตถุละเอียดมากขึ้น
***คุ้มไหมกับราคาเริ่มต้น 40,500 บาท
ประเด็นนี้ถือเป็นสิ่งที่ตอบยากที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ใช้ กลุ่มที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน ก็จะมองว่า iPhone X ราคาแพงเกินไป นำเงิน 4 หมื่นกว่าบาท ไปซื้ออย่างอื่นดีกว่า หรือแม้แต่หันลงมาเลือกใช้งาน iPhone 8 หรือ iPhone 8 Plus แทน
ขณะเดียวกัน ฐานลูกค้าของแอปเปิลจริง ๆ ไม่ได้กังวลในเรื่องราคาอยู่แล้ว ถ้าเป็นสินค้าที่ซื้อมาและตอบโจทย์การใช้งาน ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้น แลกกับเงิน 4 หมื่นบาทแล้วได้ภาพลักษณ์ในการใช้งานที่ดูทันสมัย ล้ำหน้ากลับมา กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่า
เชื่อว่า สุดท้าย iPhone X ก็จะขายดี และสร้างกำไรให้แอปเปิลมหาศาลเช่นเคย
ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000118594