- ยอดขายรวมเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ +4.9% เพิ่มขึ้นเป็น 4,981 ล้านยูโร ส่วนการเติบโตของยอดขายปกติ (Organic Sales Growth) อยู่ที่ +3.0%
- ส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT)* เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ถึง +40 จุด ขึ้นเป็น18.0%
- กำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ (EPS)* เติบโตดีเยี่ยมโดยอยู่ที่ +8.5% เพิ่มขึ้นเป็น 1.54 ยูโร
- ผลการดำเนินงานประเมินตลอดปี มียอดขายปกติเติบโตระหว่าง 2-4% กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเพิ่มมากกว่า 17.0% และเพิ่มกำไรประเมินต่อหุ้นไปอยู่ที่ประมาณ 9%
“เฮงเค็ลรายงานผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่สาม โดยแม้ว่าสถานการณ์ของตลาดจะมีความยากลำบากมากขึ้น แต่บริษัทฯ ก็สามารถสร้างยอดขายและรายได้เพิ่ม โดยทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจมีส่วนช่วยให้ผลประกอบการอยู่ในเชิงบวก เรามียอดขายปกติเติบโต 3% และยอดขายรวมโตขึ้น 5%” ฮานส์ แวน ไบเล่น ซีอีโอ ของเฮงเค็ล กล่าว “เราประสบความสำเร็จในการเพิ่มส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ซึ่งเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 18% และกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิก็เพิ่มขึ้นดีเยี่ยม นอกจากนี้เฮงเค็ลยังสามารถปิดการเข้าซื้อกิจการ 3 แห่งได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ทโฟลิโอของธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม”
“เราคาดว่าสถานการณ์ตลาดโดยรวมที่ไม่แน่นอนและผันผวนจะยังคงดำเนินต่อไป โดยปัจจัยจากค่าเงินที่ผันผวนจะก่อให้เกิดผลเชิงลบมากยิ่งขึ้น รวมถึงความท้าทายในตลาดสินค้าผู้บริโภคจะยังคงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ตามเราจะทุ่มเททำงานเพื่อสานต่อความสำเร็จ และดำเนินกลยุทธ์หลักที่เราให้ความสำคัญอย่างเต็มที่” ฮานส์ แวน ไบเล่น กล่าว
เฮงเค็ลยืนยันตัวเลขประเมินยอดขายในปีงบประมาณ 2560 และแม้ว่าความผันผวนของค่าเงินจะส่งผลกระทบเชิงลบมากขึ้น แต่เฮงเค็ลยังคงเพิ่มการประเมินกำไรต่อหุ้น “เรายังเชื่อว่ายอดขายปกติจะเติบโตที่ 2-4% เมื่อพิจารณาธุรกิจทั้งกลุ่ม และเราได้ปรับปรุงการประเมินส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเป็นมากกว่า 17.0% ส่วนกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธินั้น เราคาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 9%” ฮานส์ แวน ไบเล่น กล่าว
ผลการดำเนินงานด้านยอดขายและรายได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2560
ยอดขายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 เติบโตขึ้น 4.9% อยู่ที่ 4,981 ล้านยูโร ส่วนการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีผลกระทบเชิงลบต่อยอดขายโดยรวมที่ 4.2% ส่วนการเข้าซื้อกิจการและการตัดทอนการลงทุนมีส่วนต่อการเติบโตของยอดขายที่ 6.1% ยอดขายปกติซึ่งไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และการเข้าซื้อกิจการและการตัดทอนการลงทุน มีการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ 3.0%
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาวมียอดขายปกติเติบโตดีเยี่ยมที่ 4.9% ส่วนกลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์ มีการเติบโตของยอดขายปกติเป็นบวกอยู่ที่ 0.5% ในขณะที่กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน มีรายงานตัวเลขที่ยอดขายปกติที่สูงขึ้นที่ 1.8%
ตลาดเกิดใหม่ยังคงสร้างการเติบโตของยอดขายปกติได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายปกติเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 5.0% ส่วนตลาดอิ่มตัวในประเทศพัฒนาแล้ว มียอดขายปกติเติบโตที่ 1.5%
ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก มียอดขายที่ทรงตัวเท่ากับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนในภูมิภาคอื่นคือ ยุโรปตะวันออก มียอดขายเติบโต 4.8% แอฟริกาและตะวันออกกลางยอดขายเติบโต 3.2% อเมริกาเหนือยอดขายเพิ่มขึ้น 3.2% ละตินอเมริกายอดขายเติบโต 2.8% และเอเชียแปซิฟิกมียอดขายเพิ่มขึ้น 6.4%
กำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) เพิ่มขึ้น 7.1% เป็น 897 ล้านยูโร จากทั้งสามกลุ่มธุรกิจ
รายได้จากการขาย (ROS) เพิ่มขึ้น 0.4 จุด ไปอยู่ที่ 18.0%
กำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ (EPS) เติบโต 8.5% จาก 1.42 ยูโรไปอยู่ที่ 1.54 ยูโร
เงินทุนหมุนเวียนสุทธิ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ยอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 0.4 จุด ไปอยู่ที่ 5.6%
ผลการดำเนินงานของแต่ละกลุ่มธุรกิจ
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาวทำยอดขายปกติเติบโตขึ้นถึง 4.9% ในไตรมาสที่ 3 ของปี หากดูภาพรวม ตัวเลขยอดขายมีการเพิ่มขึ้น 4.5% หรือเท่ากับ 2,373 ล้านยูโร ส่วนกำไรจากการดำเนินงานเติบโตขึ้น 5.5% ไปอยู่ที่454 ล้านยูโร และรายได้จากการขายเพิ่มสูงขึ้นทำสถิติใหม่ถึง 19.1%
ด้านกลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์ มียอดขายปกติในเชิงบวกโดยเติบโตขึ้น 0.5% ในไตรมาสที่ 3 สำหรับยอดขายโดยรวมอยู่ในระดับต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยอยู่ที่ 941 ล้านยูโร กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้นในเชิงบวกที่ 0.5% หรือ 171 ล้านยูโร ส่วนรายได้จากการขายปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ 18.1%
สำหรับกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน การเติบโตของยอดขายปกติเพิ่มขึ้น 1.8%ในไตรมาสที่ 3 ส่วนยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 10.6% หรือ 1,636 ล้านยูโรเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกำไรจากการดำเนินงานสูงขึ้น 10.9% เป็น 294 ล้านยูโร ส่วนรายได้จากการขายอยู่ในระดับที่เท่ากันกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 17.9%
การเข้าซื้อกิจการ ช่วยให้พอร์ทโฟลิโอของเฮงเค็ลมีความแข็งแกร่งขึ้น
ความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการดาเร็กซ์แพคเกจจิ้ง เทคโนโลยี และซอนเดอร์ฮอฟฟ์ กรุ๊ป รวมทั้งนัททูร่า แลบอราทอรี่ส์ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้เฮงเค็ลในด้านพอร์ทโฟลิโอของผลิตภัณฑ์
มีผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกของปี 2560 ที่แข็งแกร่ง
เป็นครั้งแรกที่เฮงเค็ลมียอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี ทะลุ 15,000 ล้านยูโร โดยเพิ่มขึ้น 9.3% และอยู่ที่15,143 ล้านยูโร ยอดขายปกติซึ่งไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการเข้าซื้อกิจการหรือการตัดทอนธุรกิจ เพิ่มขึ้นที่ 3.1% โดยทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจมีส่วนในการเพิ่มผลการดำเนินการดังกล่าว
กำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้น 10.5% จาก 2,407 ล้านยูโรเป็น 2,660 ล้านยูโร รายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นจาก 17.4% เป็น 17.6% กำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ เพิ่มขึ้น 10.0% จาก 4.09 ยูโร เป็น 4.50 ยูโร
ใน 9 เดือนแรกของปี 2560 กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาวทำยอดขายปกติเติบโตได้สูงถึง 4.6% และมีรายงานรายได้จากการขายเพิ่มสูงขึ้นที่ 18.8% กลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์มียอดขายปกติเติบโตเชิงบวกที่ 0.9% และรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ 17.6% กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนมียอดขายปกติเติบโตขึ้น 2.2% และรายได้จาการขายอยู่ที่ 17.6%
ฐานะการเงินสุทธิของเฮงเค็ล ซึ่งมีผลตั้งแต่ 30 กันยายน 2560 มีตัวเลขอยู่ที่ –3,336 ล้านยูโร (เมื่อ 31ธันวาคม 2559 อยู่ที่ -2,301 ล้านยูโร) การเปลี่ยนแปลงจากปลายปี 2559 ดังกล่าว มีสาเหตุหลักมาจากการชำระค่าซื้อกิจการ
การประเมินภาพรวมปี 2560 มีทิศทางที่ดีขึ้น
เฮงเค็ลได้ปรับปรุงการประเมินภาพรวมสำหรับปีงบประมาณ 2560 โดยยังคงยืนยันตัวเลขการเติบโตของยอดขายปกติอยู่ที่ 2-4% ส่วนกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาวจะมีการเติบโตของยอดขายปกติอยู่ที่ 4-5% กลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์อยู่ที่ 0-1% และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนอยู่ที่ 2% ส่วนรายได้จากการขาย (EBIT) เฮงเค็ลตั้งเป้าที่จะเพิ่มตัวเลขให้มากขึ้นกว่าปีก่อนมากกว่า 17.0% และเฮงเค็ลยังปรับปรุงตัวเลขประเมินกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ โดยคาดว่าจะเพิ่มกำไรต่อหุ้นได้ประมาณ 9%
Related