ยุคหน้าของดาต้า เซ็นเตอร์จะทลายกำแพงเดิมๆ อยู่เหนือข้อจำกัด สามารถบูรณาการอุปกรณ์หลักเข้ ากับโครงข่ายรอบข้างได้อย่ างชาญฉลาดและตอบโจทย์สำคัญของธุ รกิจ นี่คือ การเข้ามาของดาต้า เซ็นเตอร์ เจนฯ 4 ที่กำลังเกิดขึ้นและจะกลายเป็ นต้นแบบของเครือข่ายไอทีสำหรั บยุค 2563 ซึ่งเป็น 1 ใน 5 เทรนด์ของดาต้า เซ็นเตอร์ ปี 2561 ตามการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญร ะดับโลกจาก เวอร์ทีฟ ชื่อเดิมคือ อิเมอร์สัน เนทเวอร์ค พาวเวอร์ (Emerson Network Power)
มร.อนันท์ ชังกี ประธาน เวอร์ทีฟ ภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า “ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ได้ผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่า งมหาศาลของเครือข่ายโคโลเคชั่น เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทต่างๆ ในเอเชียได้เคลื่อนย้ายข้อมูลแล ะแอพพลิเคชั่นที่สำคัญไปอยู่ในร ะบบคลาวด์ อีกทั้ง ยังมีความตื่นตัวอย่างสูงในการเ ชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ตอบรับกับการเรียกร้องของผู้บริ โภคที่ต้องการประสบการณ์การบริก ารที่ราบรื่น ไม่ติดขัดและรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีก ารปรับเปลี่ยนโครงสร้างของดาต้า เซ็นเตอร์ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลที่ อยู่ตรงกลางและโครงข่ายรอบข้าง”
“สำหรับปี 2560 เวอร์ทีฟ มีผู้ใช้งานสมาร์ทโซลูชั่น (SmartSolutions) มากกว่า 50 ราย ในออสเตรเลีย สิงคโปร์ ไปจนถึงเกาหลี เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะให้องค์ก ร ผสมผสานการทำงานระหว่างคลาวด์มา ยังโครงข่ายรอบข้างได้อย่างลงตั ว ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ มีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพสูง ใช้งานได้ตลอดเวลาโดยทำงานบนแผง ควบคุมเดียว”
5 เทรนด์สำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระ ทบต่อระบบนิเวศของดาต้า เซ็นเตอร์ ในปี 2561 ประกอบด้วย
1. การเกิดขึ้นของดาต้า เซ็นเตอร์ เจนเนอเรชั่น 4 (Gen 4 Data Center): องค์กรและผู้ประกอบการต่างๆ จะพึ่งพาเทคโนโลยีโครงข่ายรอบข้ างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ใช้ตู้ ไอทีแบบดั้งเดิมหรือมีศูนย์ข้ อมูลขนาดเล็กขนาด 1,500 ตารางฟุต ดาต้าเซ็นเตอร์ เจนฯ 4 จึงเกิดขึ้นเพื่อผสมผสานเชื่ อมต่อเทคโนโลยีโครงข่ายรอบข้ างให้เข้ากับส่วนกลางหลักได้อย่ างลงตัว เป็นการยกระดับและสร้างสรรค์ระบ บโครงสร้างใหม่ๆ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครือข่าย ที่กระจายข้อมูลอย่างเดียว
สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือสถาปัตยกรรมของระบบที่ก้าวล้ำ เป็นโมดุลที่มีสมรรถภาพในการทำง านแบบเรียลไทม์ หลากหลายรูปแบบ และประหยัดคุ้มทุนที่เพิ่มประสิ ทธิภาพการจัดการพลังงานความร้อน ให้ดีที่สุด รวมทั้ง อุปกรณ์ไฟฟ้าความหนาแน่นสูง แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และยูนิตกระจายกำลังไฟฟ้าขั้นสู ง นอกจากนี้ ยังมีระบบเทคโนโลยีการตรวจสอบแล ะการบริหารระบบขั้นสูง ที่จะช่วยจัดสรรโหนดไอทีแบบกระจ ายที่มีอยู่นับร้อยหรือหลายพันชุ ดให้ทำงานอย่างผสมผสานกัน ลดอัตราการสะดุดของการทำงาน ลดต้นทุน เพิ่มอัตราการใช้งาน ลดความซับซ้อน และช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการเ ชื่อมต่อกับเครือข่ายได้ทุกที่ทุ กเวลาตามต้องการ
2. ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ สู่ โคโล: การยอมรับระบบคลาวด์เกิดขึ้นอย่ างรวดเร็ว ในหลายๆ กรณีผู้ให้บริการระบบคลาวด์ไม่ส ามารถตอบสนองได้ทันกับความต้องก ารของอุตสาหกรรม ในความเป็นจริง ผู้ประกอบการควรมุ่งให้ความสำคั ญกับการให้บริการและความสำคัญอื่ นๆ มากกว่าที่จะมาสร้างศูนย์ดาต้า เซ็นเตอร์ใหม่ น่าจะหันไปหาผู้ให้บริการโคโลเค ชั่น (collocation) เพื่อรองรับความต้องการด้านสมรร ถนะทางเทคโนโลยีขององค์กร
จากการที่โคโลเคชั่น เน้นด้านประสิทธิภาพและความยืดห ยุ่น สามารถตอบสนองความต้องการผู้ใช้ งานได้อย่างรวดเร็ว ด้วยค่าใช้จ่ายที่ลดลง อีกทั้งมีโครงข่ายโคโลเคชั่นกระ จายอยู่กว้างขวาง จึงช่วยให้ผู้ให้บริการระบบคลาว ด์สามารถเฟ้นหาพันธมิตรโคโลเคชั่นเข้ามาเป็นโครงข่ายรอบข้างได้ต รงกับความต้องการของผู้บริโภคปล ายทาง นอกจากนี้ โคโลเคชั่น ยังทำหน้าที่รองรับงานในส่ วนดาต้า เซ็นเตอร์ได้ตามที่ผู้ให้บริการ ระบบคลาวด์ต้องการ หรือสามารถทำหน้าที่เป็นโครงสร้ างหนึ่งของระบบปฏิบัติงาน
3. การปรับระบบดาต้าเซ็นเตอร์ระดับ กลาง: เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าตลาดดาต้ าเซ็นเตอร์มีอัตราเติบโตสูงสุดใ นพื้นที่ที่มีความต้องการผู้ให้ บริการระบบคลาวด์หรือผู้ให้บริก ารโคโลเคชั่น และโครงข่ายรอบข้าง ในขณะนี้ จากการเติบโตของเครือข่ายโคโลเค ชั่นและระบบคลาวด์ จึงเป็นโอกาสให้ผู้ให้บริ การดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมๆ ทบทวนและปรับระบบ ทั้งในส่วนอุปกรณ์และทรัพยากรที่ สามารถคงความสำคัญต่อการดำเนินง านขององค์กรไว้
สำหรับองค์กรที่มีดาต้า เซ็นเตอร์หลายๆ แห่ง ยังคงเดินหน้าเพื่อจัดระบบและรว บรวมทรัพยากรด้านไอทีภายในของตน เข้าด้วยกัน หรืออาจปรับเปลี่ยนไปเก็บไว้กับ ในระบบคลาวด์หรือโคโลเคชั่น ในขณะเดียวกันก็ลดขนาดและเพิ่มป ระโยชน์ของโครงสร้างเพื่อการใช้ งานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งระบบและอุปกรณ์ใหม่ที่เกิ ดขึ้นจะมีขนาดเล็กลง แต่เปี่ยมประสิทธิภาพและมีความป ลอดภัยมากขึ้น มีความพร้อมใช้งานสูงรองรับกั บลักษณะภารกิจที่สำคัญของข้อมู ลที่องค์กรต้องการปกป้อง
สำหรับในภูมิภาคของโลกที่มีการใ ช้งานระบบคลาวด์และโคโลเคชั่นยั งอยู่ในระดับต่ำ คงจะคาดหวังจากโครงสร้างไฮบริดค ลาวด์ เป็นขั้นตอนต่อไป ควบคู่ไปกับการสร้างระบบที่มีคว ามปลอดภัยภายในองค์กร เพื่อเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ส่ว นตัวหรือสาธารณะเพื่อการลดต้นทุ นและบริหารความเสี่ยง
4. การมาถึงของยุคข้อมูลหนาแน่นสูง : ในรอบทศวรรษ ชุมชนดาต้าเซ็นเตอร์ ได้คาดการณ์ว่าความหนาแน่ นของแร็คจะเพิ่มขึ้นจนเต็มอิ่ม ถึงแม้ว่า ความหนาแน่นต่ำกว่า 10 กิโลวัตต์ต่อแร็คยังคงเป็นบรรทั ดฐาน แต่การใช้งานของแร็คขนาด 15 กิโลวัตต์จะกลายเป็นขนาดที่ไม่เ หมาะในระบบที่ต้องการอุปกรณ์ที่ มีการใช้งานสูง และบางส่วนต้องการแร็คที่มีขนาด ถึง 25 กิโลวัตต์
ทำไมต้องตอนนี้? การเข้ามาและการยอมรับอย่างกว้า งขวางของระบบคอมพิวติ้ง hyper-converged จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก แน่นอน โคโลเคชั่น จึงเป็นตัวเลือกชั้นยอดของระบบ ประกอบกับการใช้แร็คที่มีความหน าแน่นสูงอาจหมายถึงรายได้ที่สูง ขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีประหยัดพลังงานขั้นสูง ในเซิร์ฟเวอร์และชิป สามารถจะจัดการปัญหาเกี่ยวกั บเรื่องอัดแน่นของข้อมูลสูงที่ เพิ่มขึ้น ความหนาแน่นของข้อมูลสูงๆ ที่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสามาร ถเปลี่ยนปัจจัยพื้นฐานของบทบาทด าต้า เซ็นเตอร์ จากการเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้าน พลังงานไปเป็นสิ่งที่องค์กรใช้ช่ วยในการจัดการการทำงานภายใต้ควา มหนาแน่นข้อมูลสูงที่เกิดขึ้น ยุคข้อมูลหนาแน่นสูงกำลังจะเกิด ขึ้น แต่จะเห็นได้ชัดเจนในช่วงหลังขอ งในปี 2561
5. โลกตอบสนองต่อเอดจ์โครงข่ ายรอบข้าง: ในยุคที่องค์กรจำนวนมากขึ้น ได้อาศัยโครงข่ายรอบข้างมาใช้ เป็นส่วนหนึ่งการดำเนินธุรกิจ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องประเมิ นปัจจัยสำคัญรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัย และความเป็นเจ้าของข้อมูลที่ถูก จัดเก็บ โดยรวมทั้งประเด็นของการออกแบบท างกายภาพและเครื่องจักรกล การก่อสร้าง และความปลอดภัยของอุปกรณ์ รวมถึงคำถามที่ซับซ้อนเกี่ยวกับ ลิขสิทธิ์และการเป็นเจ้าของข้ อมูล หัวข้อเหล่านี้ กำลังเป็นจุดท้าทายของรัฐบาลและ หน่วยงานด้านการกำกับดูแลทั่วโล ก ที่จะพิจารณาและดำเนินการ
การส่งข้อมูลจากทั่วโลกไปยังระบ บคลาวด์หรือระบบอุปกรณ์หลัก เพื่อการวิเคราะห์แล้วส่งกลับมา ยังจุดกำเนิดช้าเกินไปและยุ่งยา กก่อให้เกิดโครงข่ายรอบข้ างมากขึ้น โดยทำหน้าที่เป็นดาต้าครัสเตอร์ ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ทัน ที โครงข่ายรอบข้างจะตั้งอยู่ ตามเมือง รัฐ หรือประเทศต่างๆ ที่อยู่นอกเขตที่ธุรกิจตั้งอยู่ แต่ใครเป็นเจ้าของข้อมูลเหล่านั้ น และพวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำอะไร บ้าง การถกเถียงในประเด็นเหล่านี้ยัง ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2561 จะเห็นการอภิปรายก้าวไปสู่ทางออ กเชิงปฏิบัติและคำตอบได้
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เทรนด์และข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ จากผู้เชี่ยวชาญเวอร์ทีฟ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่www.VertivCo.com.
เกี่ยวกับเวอร์ทีฟ
เวอร์ทีฟ ออกแบบ ผลิต และให้บริการเทคโนโลยีโครงสร้าง พื้นฐานเพื่อการใช้งานในศูนย์ข้ อมูล เครือข่ายการสื่อสาร และโครงสร้างพื้นฐานทางพาณิชย์แ ละอุตสาหกรรม เวอร์ทีฟหรือชื่อเดิมคือ อิเมอร์สัน เนทเวอร์ค พาวเวอร์ รองรับตลาดโทรศัพท์มือถือและคลา วด์ คอมพิวติ้ง ที่กำลังเติบโตขึ้น โดยมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นโซลูชั่ นด้านการจัดการพลังงาน ความร้อน และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีแบรนด์เรือธงได้แก่ ASCO®, Chloride®, Liebert®, NetSure™ และ Trellis™ ยอดขายประจำปีงบประมาณ 2559 คิดเป็น $4.4 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เวอร์ทีฟ: www.VertivCo.com