สงครามไพรม์ไทม์ 4 ช่องทีวีดิจิทัล ขย่มเรตติ้งละครช่อง 3, 7

ต้องจับตากันชนิดตาไม่กะพริบ สำหรับทีวีดิจิทัล โดยเฉพาะช่วงเวลาไพรม์ไทม์หลัง 2 ทุ่ม คือช่วงเวลาทองของทุกสถานี ที่หวังสร้างรายได้จากโฆษณาสูงสุด เป็นช่วงเวลาที่ช่อง 7 และช่อง 3 ผู้ประกอบการทีวีรายเก่าครองตลาดมาเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ทั้ง 2 ช่อง โดยเฉพาะช่อง 3 กำลังถูกท้าทายอย่างหนักจาก 4 ช่องน้องใหม่ “เวิร์คพอยท์ , โมโน, ช่อง8 , ช่องวัน” กำลังทุ่มงบ อัดฉีดรายการที่เป็นจุดแข็งของตัวเองเข้าสู้ ทำให้สถานการณ์การแข่งขัน ยิ่งดุเดือดมากขึ้น

โดยเฉพาะช่อง 3 ที่ครองเรตติ้งอันดับ 2 ต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างหนักจากคู่แข่งทีวีดิจิทัล ที่กำลังไล่ล่าเรตติ้งคนดูกันอย่างหนัก อย่างล่าสุด ช่องโมโน หลังจากทำเรตติ้งแซงหน้าเวิร์คพอยท์ ขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ก็ประกาศขอขึ้นเบอร์ 2

เท่ากับว่า ช่อง 3 ก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากไม่น้อยทีเดียว ไหนต้องรับมือกับแข่งขันอันร้อนระอุแล้ว หนำซ้ำ “ละคร” ช่วงไพรม์ไทม์หลัง 2 ทุ่ม ในเดือนมกราคม 61 ก็ยังไม่สามารถทำเรตติ้งได้น่าพอใจ

ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม ช่อง 3 เปิดด้วย ละครดราม่าร้อน ระเริงไฟ ของค่ายซิติเซ่น แคน “หน่อย บุษกร” ที่นำเอาสามี “เคน ธีรเดช“ และ ”นุ่น วรนุช” มาแสดงนำ, “เดือนประดับดาว” ของ ”โดนัส มนัสนันท์“ ที่จบไปแล้ว และต่อด้วย “เสน่ห์นางงิ้ว” ของค่ายแอ็ค อาร์ต ของธัญญา วชิรบรรจง และ ”ไข่มุก มังกรไฟ” ละครบู๊ของค่าย เป่า จิน จง “นพพล โกมารชุน”

“ระเริงไฟ” แม้ได้นักแสดงรุ่นใหญ่มาแสดง บทดราม่า เชือดเฉือน ร้อนแรง แต่ยังไม่ถูกจริตคนชมมากนัก อาจจะเพราะละครมีส่วนของความเครียดมากกว่าความบันเทิง จบไปโดยที่ได้เรตติ้งแบบไม่น่าประทับใจนัก จากข้อมูลเรตติ้งของ FB TV Digital Watch สรุปว่า ระเริงไฟ ได้เรตติ้งเฉลี่ยจากทั้งหมด 14 ตอน อยู่ที่ 2.801 เท่านั้น โดยเรตติ้งสูงสุด คือ 3.701 ในตอนจบที่แฮปปี้เอนดิ้งนั่นเอง เหมือนเป็นความเครียดที่อัดอั้นมานานและมาระเบิดแบบความสุขตามแบบฉบับละครไทยจนได้เรตติ้งพุ่งในตอนสุดท้าย

ส่วนละครวันพุธ พฤหัส เดือนประดับดาว จบลงไปตั้งแต่ 10 มกราคม ด้วยเรตติ้งเฉลี่ยเพียง 2.431 และต่อมาด้วยเรื่องเสน่ห์นางงิ้ว ด้วยชื่อชั้นของค่าย แอค อาร์ต ยี่ห้อของ พงพัฒน์ วชิรบรรจง ที่กวาดรางวัลสร้างชื่อเสียงมามากมายจากเรื่อง “นาคี” เพียงแต่เรื่องนี้เป็นการกำกับโดยนักแสดงรุ่นใหญ่ “อู๋ ธนากร โปษยานนท์ “ เป็นครั้งแรก ช่อง 3 วางไว้รับเทศกาลตรุษจีนที่ค่อนข้างคาดหวังมากว่าจะสร้างเรตติ้งได้ดีแต่ปรากฏว่า หลังจากออกอากาศไปได้ 5 ตอน ได้เรตติ้งเฉลี่ยไปแค่ 1.74 ผิดมาตรฐานละครช่อง 3 เป็นอย่างมาก

ช่วงวันศุกร์-อาทิตย์ ไข่มุก มังกรไฟ” ละครบู๊ ออกอากาศไปแล้ว 9 ตอน ได้เรตติ้งเฉลี่ย 2.52 ส่งผลให้เรตติ้งของละครไพรม์ไทม์หลัง 2 ทุ่มล็อตนี้ของช่อง 3 เรตติ้งดร็อปลงทั้งหมดอย่างเห็นได้ชัด

สวนคู่แข่งช่อง 7 ที่ เปิดลอตใหม่ของปี 2561 ด้วย “แม่อายสะอื้น” ละครดราม่ารีเมก ออกอากาศไป 2 ตอนเรตติ้งอยู่ที่ 4.80 , “มือปราบเหยี่ยวดำ” ละครบู๊ สร้างจากเรื่องจริงของนายตำรวจในปฏิบัติการไล่ล่า ”ตี๋ใหญ่” จอมโจรชื่อดังในอดีต ออกอากาศไป 4 ตอนได้เรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 5.33  และ “คุณชายไก่โต้ง” ละครคอมเมดี้ ออกอากาศไป 6 ตอน เรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 5.03

แม้ว่าสถานการณ์ของช่อง 7 จะไม่หนักหนาเท่ากับช่อง 3 แต่ทั้ง 3 เรื่องของช่อง 7 ยังมีเรตติ้งไม่สูงเท่ามาตรฐานของละครช่อง 7 ที่เคยได้เฉลี่ยสูงกว่านี้ หากดูจากตัวเลขเรตติ้งเฉลี่ยของละครหลัง 2 ทุ่มของช่อง 7 ปี 2560 เคยได้สูงสุดอยู่ที่ 8.015 จากเรื่อง ”นายฮ้อยทมิฬ” และต่ำสุดคือเรื่อง ”วังนางโหง” อยู่ที่ 4.142

4 ช่องน้องใหม่-เวิร์คพอยท์ โมโน  ช่อง 8 ช่องวัน มายกแผง

เมื่อ 2 บิ๊กทีวี ช่อง 3 และช่อง 7 เรตติ้งลดลง ตรงกันข้ามกับเรตติ้งของ 4 ช่องน้องใหม่ เวิร์คพอยท์ – โมโน – ช่อง8 – ช่องวัน กำลังมาอย่างดีวันดีคืน

ที่พุ่งแรงที่สุดคือซีรีส์อินเดีย หนุมาน สงครามมหาเทพ ของช่อง 8 ที่ปูพรมเปิดตลาดซีรีส์อินเดียมาตั้งแต่ ”สีดาราม ศึกรักมหาลงกา” มาตั้งแต่ปลายปี 2558 ยาวถึงปี 2559 โดยวางผังออกอากาศเป็นสองช่วง คือไพรม์ไทม์ 19.00 และหลัง 20.00 เริ่มสร้างเรตติ้ง สร้างฐานคนดูมาก่อน จนกระทั่งมาบูมสุดๆ ที่ความน่ารักของหนุมานน้อย จนล่าสุดได้เรตติ้ง 4.499 ในวันที่ 25 มกราคม ในการออกอากาศช่วงที่ 2 หลัง 2 ทุ่ม ชนะ The Mask Singer3 รอบแชมป์เป็นของ ”หน้ากากหนอนชาเขียว” ที่ได้เรตติ้ง 3.95 แพ้เพียงละคร ”มือปราบเหยี่ยวดำ ช่อง 7 ที่ได้เรตติ้ง 5.431

ในวันเดียวกันนั้น ภาพยนตร์ต่างประเทศของโมโน “Deja Vu” ก็มีเรตติ้งอยู่ในระดับ 2.827 และละครไทย ซีรีส์ชุด ”เรือน” ของช่องวัน เรื่องที่ 3 ต่อจาก “เรือนเสน่หา และ ”เรือนร้อยรัก” จนมาเป็น “เรือนเบญจพิษ” ได้เรตติ้งดีขึ้นต่อเนื่อง ออกอากาศไป 10 ตอน เรตติ้งอยู่ที่  2.27

เมื่อ 4 ช่องน้องใหม่เรตติ้ง ”มา” พร้อมๆ กัน จึงต้องกระทบต่อช่อง 3 ที่อยู่ในอันดับ 2 อย่างเห็นได้ชัด ดูได้จากเรตติ้งในวันเดียวกันนี้ ”เสน่ห์นางงิ้ว” ช่อง 3 ได้ไปเพียง 1.803 อยู่ในอันดับ 7

ช่อง 3 วางละครล็อตใหม่ลงผัง หวัง “เงินปากผี” กระตุ้นเรตติ้ง

ช่อง 3 นั้น เมื่อเปิดเดือนแรกของปีมาด้วยเรตติ้งละครที่ต่ำกว่าที่คาดไว้มาก ก็ฝากความหวังไว้กับละคร เงินปากผี ที่จะออนแอร์ในวันจันทร์ที่  29 มกราคมนี้ ละครหลัง 2 ทุ่ม ช่อง 3 เป็นละครผี สุดสยองขวัญ ที่ช่อง 3 โดยมาเสียบแทนเรื่องที่วางไว้เดิม บ่วงรักซาตาน ละครแนวโรแมนติกดราม่าสไตล์ช่อง 3 เพราะประเมินแล้วว่า ด้วยแนวของเรื่องไม่น่าแรงพอที่จะช่วยกระตุ้นเรตติ้งในช่วงวิกฤตนี้ เท่ากับเงินปากผี

โดย “เงินปากผี” เป็นละครของ ค่ายกันตนา ที่หันมารับงานละครให้กับช่อง 3 ด้วย ครั้งนี้ได้ “สตางค์ ดิษย์ลดา” ลูกสาวของ “ตุ๊กตา จิตรดา” ทายาทกันตนา เป็นผู้จัด โดยผลิตละครผี ที่เป็นซิกเนเจอร์ของค่ายกันตนา ที่เคยประสบความสำเร็จมาหลายเรื่องแล้ว

นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า ช่อง 3 เตรียมวาง บุพเพสันนิวาส ละครพีเรียด สมัยพระนารายณ์ ยุคกรุงศรีอยุธยา ได้ “โป๊ป ธนวรรธน์” และ ”เบลล่า ราณี” นำแสดง มาเตรียมออนแอร์ต่อจาก ”เสน่ห์นางงิ้ว” เพื่อฟื้นเรตติ้งด้วย

โมโน VS เวิร์คพอยท์ คู่ต่อกรอันดับ 3 ท้าชิงอันดับ 2

ทางด้าน เวิร์คพอยท์ โมโน ช่อง 8 ช่องวัน คือ 4 ช่องดาวรุ่งของวงการทีวีดิจิทัลในช่วงนี้ ที่เริ่มสตาร์ทปีนี้ด้วยรายการชุดใหญ่ จัดเต็มเพื่อลุยศึกชิงเรตติ้งจาก ช่อง 7 และช่อง 3 ที่เป็น 2 ช่องหลักในอุตสาหกรรมทีวีไทยมาอย่างยาวนาน

เรตติ้งของปี 60 เวิร์คพอยท์ที่อยู่ในอันดับ 3 ได้ 1.001 เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ 0.837 ตามมาคือ โมโน ได้ 0.702 เพิ่มขึ้นจากปี  2559 ที่ได้ 0.536, ช่อง 8 อยู่ในอันดับ 5 ได้ 0.569 สูงขึ้นจากปี 2559 ที่ได้ไป 0.437 ส่วนช่องวันได้ 0.537 เพิ่มจากปี 2559 ที่อยู่ที่ 0.406

ในขณะที่เรตติ้งเฉลี่ยของช่อง 7 ทั้งปี 2560 อยู่ที่  2.114 แม้ว่าจะยังอยู่ในอันดับ 1 ของช่องทีวีดิจิทัลทั้งหมด แต่ก็ลดลงจาก 2.315 ของปี  2559 ส่วนของช่อง 3 เรตติ้งรวมอยู่ที่ 1.384 ลดลงจาก 1.600 ในปี 2559

ยิ่งเมื่อดูจากเรตติ้งประจำสัปดาห์ตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมาแล้ว จะเห็นว่า 4 ช่องใหม่นี้ยังรักษาฐานเรตติ้งของตัวเองเริ่มเขยิบกันยกแผงใกล้เคียงกับช่อง 7 และช่อง 3 แต่ที่ใกล้สุดๆ คือ โมโนและเวิร์พอยท์ ที่ไล่กันมาติดๆ

ปีนี้โมโนประกาศทุ่มงบลงทุน 800 ล้านสำหรับการซื้อคอนเทนต์ต่างประเทศ ตั้งแต่ภาพยนตร์และซีรีส์ พร้อมกับขึ้นค่าโฆษณา จาก 2.8 หมื่นบาทต่อนาที เป็น 4 หมื่นบาทต่อนาที และพุ่งไปถึง 1 แสนบาทต่อนาทีในช่วงไพรม์ไทม์ โมโนจึงไม่รอช้าที่จะประกาศว่า พร้อมชิงอันดับ 2 จากช่อง 3 ที่ดูเหมือนกำลังอ่อนแรง

แต่การใช้คอนเทนต์ต่างประเทศ แม้จะได้คอนเทนต์แปลกใหม่ ทันสมัย แต่ก็มีข้อจำกัดในการเอามารีรันได้ตามจำนวนครั้งที่ตกลงในสัญญา หากเกินจากข้อกำหนดจะต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เพิ่มขึ้นอีก จึงต้องมีเงินทุนสายป่านยาวพอสมควร โมโนจึงต้องเริ่มผลิตรายการในประเทศเข้าไปเสริมผังด้วย เช่นละครไทย และรายการกีฬาบาสเกตบอลลีกในประเทศไทย

ส่วนเวิร์คพอยท์นั้น ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องปรับหากลยุทธ์ ในการฟื้นเรตติ้งทั้งช่องขึ้นมาให้ได้เหมือนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 เวิร์คพอยท์เคยขยับเข้าใกล้ช่อง 3 ในอันดับ 2 มาแล้ว เพียงแต่ในครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว รายการวาไรตี้ใหม่บางรายการที่คาดหวังไว้ไม่เป็นไปตามเป้า

ล่าสุดเวิร์คพอยท์ จะนำซีรีส์อินเดีย ศึกสองราชันย์ โปรุส VS อเล็กซานเดอร์ มาลงจอในช่วงเวลา  21.30 น. ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เริ่ม 5 ก.พ.นี้ โดยเป็นการออกอากาศต่อจากรายการวาไรตี้เกมโชว์ของเวิร์คพอยท์ในช่วงไพรม์ไทม์ ที่เริ่มมีปัญหาบางรายการไม่ปัง เรตติ้งไม่มา

สำหรับรายการวาไรตี้หลักที่สร้างเรตติ้งเป็นที่จดจำของคนดูของเวิร์คพอยท์ ยังคงเป็น The Mask Singer ที่มาถึงซีซันที่ 3 แล้ว และ I can see your voice และรายการซีรี่ส์ ”ไมค์” ทั้งหมด สร้างเรตติ้งได้ในหลัก 2 ขึ้นไป ในขณะที่บางรายการเช่น “Diva Makeover เสียงเปลี่ยนสวย” รายการร้องเพลงที่มาพร้อมกับดราม่า ได้เรตติ้งล่าสุดวันที่ 22 ม.ค.ไปเพียงแค่ 1.76

กลยุทธ์การวางผังเช่นนี้ จะช่วยตรึงผู้ชมให้อยู่กับช่องยาวนานมากเช่นในวันพุธ หลังรายการ I can see your voice จบ วันหรือ พฤหัส หลังรายการ The Mask Singer3 จะได้ต่อเนื่องกับซีรีส์อินเดียทันที ซึ่งคาดว่าจะได้เรตติ้งสูงกว่ารายการเดิมที่วางไว้ก่อนหน้านี้

ทั้งนี้รายการเดิมที่อยู่ในผังช่วงนี้ได้แก่ “อีจันสืบสยอง“, ”คนอวดผี ปี 7””เลขอวดกรรม“ และรายการรีรีน เช่น ชิงร้อยชิงล้าน , และ Diva Makeover

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เวิร์คพอยท์นำซีรีส์อินเดียมาออกอากาศ ในปี 2558 เวิร์คพอยท์เป็นทีวีดิจิทัลรายแรกที่นำเอา ”พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก” เป็นซีรีส์อินเดียชุดแรกเข้ามาสร้างตลาดผู้ชมคนไทยมาแล้ว “ศึกสองราชันย์ โปรุส VS อเล็กซานเดอร์” ชุดนี้ จึงเป็นหนึ่งหมัดเด็ดของเวิร์คพอยท์ ที่หวังชิงเรตติ้งจากทุกช่องกลับมา

ซีรีส์อินเดีย คอนเทนต์ใหม่มาแรงของทีวีดิจิทัล

ครั้งหนึ่งซีรีส์เกาหลี คือรายการที่ช่วยสร้างความแปลกใหม่ให้วงการทีวีไทย หลายๆ ช่องต่างซื้อลิขสิทธิ์มาออกอากาศกันมากมาย แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามา การดูซีรีส์เกาหลีจึงไม่จำเป็นต้องรอดูบนทีวีอีกต่อไป สามารถเลือกรับชมช่องทางออนไลน์ หรือสดพร้อมๆ กับเกาหลีได้เลย ทำให้ต้องมองหารายการต่างประเทศอื่นๆ เท่าเข้ามาทดแทน

JKN ในฐานะผู้นำเข้าซีรีส์อินเดีย เคยบอกไว้ว่า สาเหตุ์ที่ซีรีส์อินเดียเป็นที่นิยมในประเทศไทย เพราะศิลปวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันในการนับถือศาสนาพุทธ เรื่องส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับความเชื่อ ความศรัทธา และคนไทยยังมีความคุ้นเคยกับตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น นางสีดา พระราม หนุมาน พระศิวะ รวมเข้ากับรูปแบบการนำเสนอสมัยใหม่ มีทั้งแฟนตาซี อภินิหาร ไม่ใช่วิ่งไล่จับกันข้ามวันข้ามคืนเหมือนสมัยก่อน จึงถูกจริตคนไทย กลายเป็นซีรีส์ยอดนิยมขึ้นมา

อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ชมเริ่มเบื่อพล็อตละครไทย การทำละครรีเมก จึงหันไปหาความแปลกใหม่ และซีรีส์อินเดียก็ตอบโจทย์ในแง่ความแปลกใหม่ แต่คุ้นเคยตัวละครได้มากที่สุด

ช่อง 8 เป็นช่องที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดสำหรับซีรีส์อินเดีย เริ่มปูพรมมาตั้งแต่ “สีดา ราม ศึกมหาลงกา“ ออกอากาศกันข้ามปี จากปี 2558 -2559 จนมาพีคที่สุดกับ “หนุมาน สงครามมหาเทพ” ที่เคยทำเรตติ้งชนะ “วังนางโหง” ละครหลัง 2 ทุ่มที่มีเรตติ้งเฉลี่ยต่ำสุดของปี 2560 ช่อง 7 มาแล้วในช่วงสั้นๆ ของเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว

ช่องทีวีดิจิทัลทั้งหมด 5 ช่อง ที่จัดซีรีส์อินเดียลงผังในขณะนี้ เริ่มตั้งแต่กลุ่มช่อง 3 มี “นาคิน” ลงช่อง 33 และ“อโศก มหาราช” ช่อง 13 ออกอากาศช่วงเย็นทุกวันจันทร์-ศุกร์ และกำลังจะมี ”มหาภารตะ” เพิ่มในผังอีกชนิดยิงยาวตั้งแต่ 1 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม, ช่องไบรท์ทีวี มี ​”ศิวะ พระมหาเทพ” ออกอากาศช่วงไพรม์ไทม์ 3 ทุ่ม และอีก 4 เรื่องออนแอร์กันทั้งวัน และช่อง 8 ที่มีถึง 2 เรื่องคือ “หนุมาน” และ ”ลิขิตแค้นแสนรัก” ที่ออกอากาศยาวช่วงไพรม์ไทม์ในวันจันทร์-ศุกร์

สมรภูมิศึกชิงเรตติ้งครั้งนี้ น่าสนุก ลุ้น กันทุกวัน.