จะเอาใจวัยรุ่นยุคนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักเกินครึ่งของโรงหนัง “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” พี่ใหญ่ในวงการเลยต้องก้าวให้ทันกับเทรนด์โรงหนังยุคใหม่ ที่ไปไกลอย่างสหรัฐอเมริกาไปถึงขั้นโรงหนัง 5.0 ส่วนประเทศจีน ก็ขยับไปถึง 6.0 แล้วเมเจอร์จึงต้องหาแม่เหล็กใหม่ๆ มาดึงดูดใจคนกลุ่มนี้ให้มากขึ้น
เริ่มด้วยการลงขันร่วมทุนกับ “ไอแมกซ์ คอร์ปอเรชั่น” ฝ่ายละครึ่ง เปิดตัว เอไอเอส ไอแมกซ์ วีอาร์ ที่พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ห้องเล่นเกมเสมือนจริง ไทยถือเป็นที่แรกในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นที่ 7 ของโลก เช่น ลอสแองเจลิสและนิวยอร์ก อเมริกา, โตรอนโต แคนาดา, อังกฤษ, เซี่ยงไฮ้, จีน เป็นต้น
เอไอเอส ไอแมกซ์ วีอาร์ เป็นห้องเล่นเกมเสมือนจริง ลักษณะเดียวกับโรงภาพยนตร์ไอแม็กซ์ โดยเนื้อหาหรือคอนเทนต์ของเกมนั้นถูกสร้างต่อยอดจากภาพยนตร์ดัง เช่น John Wick Chronicles, Justice League, Star Trek และ Aqua Man 7 เกม หมุนเวียนกันไป
จุดที่ตั้งจะอยู่บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์กรุงศรี ไอแมกซ์ สาขาพารากอนซีนีเพล็กซ์ ค่าบริการเริ่มต้น 25-650 บาทต่อคน ระยะเวลาเล่น 7-30 นาที ห้องที่แพงสุด จะจุคนไปเล่นพร้อมกันได้ 4 คน
โดยได้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส มาเป็น “เนมมิ่งสปอนเซอร์” เพื่อตอบโจทย์ยุคดิจิทัล และในอนาคตมีความเป็นไปได้จะนำเทคโนโลยี VR ดังกล่าวให้บริการผ่านมือถือ แต่สเต็ปแรกทางบริษัทจะดึงสตาร์ทอัพมาพัฒนาคอนเทนต์เกม VR เพื่อใช้เล่นที่ AIS IMAX VR ก่อน
เมเจอร์ตั้งความหวังไว้ว่า บริการนี้จะช่วยขยายฐานลูกค้าที่ได้ทั้ง “คอเกม” และ “แฟนหนัง” กลุ่มวัยรุ่น ทั้งคนไทยและต่างชาติ ให้มาใช้บริการ คาดว่า 100,000 คนต่อปี
ทางด้านจอห์น เอ็ม ชไรเนอร์ รองประธานอาวุโส ไอแมกซ์ คอร์ปอรเรชั่น กล่าวว่า ไอแมกซ์ได้ต่อยอดธุรกิจโรงภาพยนตร์จอยักษ์เข้าสู่เทคโนโลยีเสมือนจริงที่สุดในโลก ในชื่อว่า ไอแมกซ์ วีอาร์ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่เนื้อหา วีอาร์มาจากหนังที่ทำขึ้นมาเพื่อไอแมกซ์วีอาร์โดยเฉพาะ โดยไทยเป็นแห่งที่ 7 ของโลก และภายใน 18 เดือนจากนี้ จะเปิดไอแมกซ์วีอาร์อีกใน 2 ประเทศ เพื่อให้ครบ 10 ที่ทั่วโลก
ไอแมกซ์ได้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาเนื้อหาวีอาร์ มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,650 ล้านบาท) ตั้งเป้าที่จะกระตุ้นอุตสาหกรรมวีอาร์ด้วยการพัฒนาเนื้อหาวีอาร์คุณภาพสูงมากถึง 25 เนื้อหา ภายใน 3 ปี ซึ่งกองทุนดังกล่าว มีผู้ร่วมทุนจากวงการคอมพิวเตอร์อย่างเอเซอร์ด้วย
นอกจากนี้ เมเจอร์ ยังลงทุนทั้งสาขาและกิจกรรมรวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ มานำเสนอต่อเนื่อง ล่าสุดคือกลยุทธ์มูฟวี่พาส เมื่อต้นปี ทดลองที่สาขารัชโยธินเป็นแห่งแรก ใช้กับกลุ่มนักศึกษาเท่านั้น เป็นตั๋วหนังล่วงหน้ารวมราคา 200 บาท ใช้ได้ 1 เดือน ดูหนังได้ทุกเรื่อง มีเงื่อนไขต้องจ่ายติดต่อกัน 3 เดือน จะทดลองประมาณ 3 เดือน ชิมลางบางมหาวิทยาลัยเท่านั้น เช่น ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน และ ม.ศรีปทุม ก่อนสรุปผลว่าเป็นอย่างไร ซึ่งกลุ่มนักศึกษาเป็นกลุ่มที่ดูหนังมากที่สุดอยู่แล้วกว่า 50% จากทั้งหมด ที่เหลือเป็นคนทำงาน 35% และครอบครัว 15% การทำเช่นนี้เพื่อต้องการให้ลูกค้ามาดูหนังถี่ขึ้น
ขณะเดียวกันในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ เมเจอร์ฯ จะเปิดตัวโครงการใหม่ที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อสร้างศักยภาพใหกับธุรกิจและสร้างความแตกต่างจากตลาด รองรับยุค 5.0
ปีที่แล้ว เมเจอร์ฯ เติบโต 6% ปีนี้ยังมีการขยายสาขาต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมาก ปัจจุบันทั่วไทยมีจอหนังรวมในตลาดประมาณ 1,200 จอ ขณะที่จีนมีมากถึง 52,000 จอ และปีที่แล้วเพียงปีเดียวที่จีนมีการเปิดเพิ่มใหม่อีก 8,000 จอ ส่วนที่อเมริกามีประมาณ 32,000 จอ ส่วนในต่างประเทศ บริษัทฯ จะเปิดไอแมกซ์อีกที่พนมเปญในเดือนพฤษภาคมนี้ และตุลาคมเปิดไอแมกซ์ที่ไอคอนสยาม ปัจจุบันมีไอแมกซ์รวม 6 สาขา ซึ่งลงทุนมากกว่าโรงหนังปรกติ 8 เท่า.