ทรู จ่ายเงินปันผลเป็น ”เงินสด” ครั้งแรกในรอบ 24 ปี ตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น ปี 36 รับผลกำไรทะลุ 2,323 ล้านบาท

กลุ่มทรู กลับมาทำกำไร 2,323 ล้านบาท ในปี2560 จากการเติบโตของธุรกิจมือถือและธุรกิจบรอดแบนด์ และการขายทรัพย์สินเข้ากองทุน พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดครั้งแรก ตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2536  ในราคาหุ้นละ 0.031 บาทต่อหุ้น ในวงเงินทั้งหมด  1,000 ล้านบาท  

ในปี 2558 กลุ่มทรูได้เคยประกาศปันผลมาแล้ว ในอัตรา 0.06 บาทต่อหุ้น จากผลประกอบการที่มีกำไรจำนวน 4,411 ล้านบาท แต่เป็นการปันผลอยู่ในรูปแบบให้เป็นหุ้น จากจำนวน 200 หุ้นจะได้ 3 หุ้น ดังนั้นครั้งนี้จึงเป็นการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดครั้งแรก  

กลุ่มซีพีถือหุ้นใหญ่ 37% ได้ปันผลเกือบ 400 ล้าน 

จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่  วันที่ 16 มีนาคม 2560 กลุ่มเครือซีพีทั้งหมดที่ถือหุ้นในนามบริษัทต่างๆ ถือรวมกันประมาณ 37 % เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ตามมาด้วยกลุ่มพาร์ทเนอร์จากจีน– ไชน่า โมบายล์ อินเตอร์เนชั่นแนล ถือ 18% 

หากคำนวณจากจำนวนหุ้นที่ทั้งสองกลุ่มมีอยู่ในทรู กลุ่มซีพีจะได้เงินปันผลประมาณ 373 ล้านบาท และไชน่าโมบาย จะได้เงินปันผลประมาณ  186 ล้านบาท  

ทั้งนี้จะมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้  

ทรูมูฟ เฮช ทำรายได้ 75% ของรายได้รวม 

ในปี 2560  กลุ่มทรูมีรายได้รวม 141,290 ล้านบาท สูงกว่า 13.3%  ของปี 2559  ที่มีรายได้รวม  124,719 ล้านบาท โดยมีรายได้หลัก 75% จากธุรกิจมือถือ ทรูมูฟ เฮช ที่มีรายได้รวม 111,311 ล้านบาท , 18% มาจากธุรกิจบรอดแบนด์ ของทรูออนไลน์ที่มีรายได้รวม 36,149 ล้านบาท และ 7% จากทรูวิชั่นส์ ที่มีรายได้รวม 12,236 ล้านบาท

ทั้งปีมีกำไรทั้งหมด 2,323 ล้านบาท โดยเป็นการพลิกกลับมากำไร หลังจากขาดทุนในปี 2559 จำนวน 2,814 ล้านบาท  

มือถือเติบโต ยอดลูกค้าเพิ่มทั้งปี 2.7 ล้านราย  

ทรูชี้แจงว่า ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลุ่มมีจำนวนผู้ใช้บริการรายใหม่รวม 2.7 ล้านราย ทำให้ตัวเลขผู้ใช้บริการมือถือรวมทั้งหมด 27.2 ล้านราย เป็นลูกค้าแบบเติมเงิน 20.3 ล้านราย และลูกค้ารายเดือน 6.9 ล้านราย โดยมีรายได้จากบริการนอนวอยซ์อยู่ที่  42,.416 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.7% จากปี 2559 ทำให้ทรูมูฟ เฮชอยู่ในอันดับ 2 ของตลาด และยังมีอัตราเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมที่มีจำนวนลูกค้าลดลงทั้งหมด 2.8 ล้านเลขหมาย 

นอกจากนี้รายได้ของตลาดมือถือรวมในปี 2560  เติบโตทั้งระบบ 5.7% ซึ่งทรูระบุว่า เป็นผลมาจากการเติบโตด้านรายได้เฉพาะจากการให้บริการของทรูมูฟ เอช ที่เติบโตสูงถึง 17.3 % อยู่ที่ 67,885 ล้านบาท ที่มาช่วยผลักดันให้ตลาดเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557

ก่อนหน้านี้เอไอเอสแจ้งตลาดฯว่า ในปี 2560 มียอดผู้ใช้บริการรวม 40 ล้านราย ลดลง 1 ล้านรายจากปี 2559 ในขณะที่ดีแทคมีลูกค้ารวม 22.7 ล้านราย ลดลง 1.8 ล้านราย  

บรอดแบนด์หนุนส่ง ลูกค้าเพิ่ม 385,000 ราย  

รายได้เฉพาะการให้บริการบรอดแบนด์ อินเตอร์เนทอยู่ที่  23,138 ล้านบาท เติบโต 9.8%จากปีก่อนหน้า โดยมีจำนวนลูกค้าบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต เพิ่มขึ้นทั้งปี385,000 ราย เป็น 3.2 ล้านราย ซึ่งทั้งหมดเป็นการให้บริการบนโครงข่าย FTTx  

ทั้งนี้การขยายของบรอดแบนด์ เป็นผลมาจากขยายเครือข่ายไฟเบอร์ ที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 13 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ 

ทรูวิชั่นส์ รายได้รวมลด 1.4% 

ธุรกิจเพย์ทีวีโดยรวมมีรายได้ลดลงจาก 12,406 ล้านบาทในปี 2559 มาอยู่ที่  12,236 ล้านบาท หรือลดลง 1.4%

เป็นผลมาจากรายได้จากธุรกิจมิวสิค เอ็นเตอร์เทนเมนท์ และอื่นๆ ลดลง 8.4 % จาก 2,473 ล้านบาท มาอยู่ที่ 2,265 ล้านบาท เพราะลดการจัดกิจกรรมลง และพยายามมุ่งเน้นที่จะให้กำไรเท่านั้น

แต่รายได้จากค่าสมาชิกเพิ่มขึ้น โดยมียอดลูกค้าในแบบจ่ายค่าสมาชิกเพิ่มขึ้น 175,961 ราย มามียอดรวม 2.2 ล้านราย ส่วนยอดฐานลูกค้าทรูวิชั่นส์ในระบบทั้งหมด 4 ล้านราย และยังมีรายได้จากค่าโฆษณา เพิ่มขึ้น 2.1% จาก 1,744 ล้านบาท ของปี 2559 มาอยู่ที่ 1,781 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามการโฆษณาในทรูวิชั่นส์ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในเครือทรูและบริษัทในเครือ

ขายทรัพย์สินเข้ากองทุน DIF 

มีการรายงานรายได้จากการขายสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (Digital Telecommunications Infrastructure Fund หรือ DIF)  และการทำแคมเปญดีไวซ์หลากหลายในกลุ่มทรู มีมูลค่ารวม 23,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.6% จากปี 2559 ทั้งนี้ หากไม่รวมธุรกรรมกับ DIF รายได้จากการขายจะเพิ่มขึ้น 3.4% จากปี2559 มาอยู่ที่  17,400 ล้านบาท  

กำไรก่อนหักภาษี หรือ EBITDA ของกลุ่มเติบโต 59.2 % จากปี 2559 เป็น 39,912 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้ DIF แล้ว EBITDA ของกลุ่มทรูจะเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับปี 2559  เป็น 34,000 ล้านบาท

ทั้งนี้การขายทรัพย์สินนี้มีส่วนสำคัญทำให้ผลประกอบการโดยรวมกำไร ทั้งๆที่ในไตรมาส 3 ของปีนี้ ยังรายงานการขาดทุนอยู่ที่ 3,088 ล้านบาท.