ตระกูล “มาลีนนท์” เขย่าอีกรอบ “ประวิทย์” ขายหุ้นช่อง 3 3 สาวพี่น้อง “รัตนา-นิภา-อัมพร” คุมเบ็ดเสร็จ

เปลี่ยนแปลงอีกครั้งแล้ว ตระกูล ”มาลีนนท์” ผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ซึ่งเป็นผู้บริหารทีวีดิจิทัล 3 ช่อง ทั้งช่อง 3HD, ช่อง 3SD และช่อง 3Family 

ล่าสุด ได้ปรับสัดส่วนผู้ถือหุ้นในครอบครัว โดยกลุ่ม ”ประวิทย์ มาลีนนท์” ตัดสินใจขายหุ้นในส่วนของลูกชาย วรวรรธน์ มาลีนนท์ ออกไปแล้ว

หลังจากประกาศถอนตัว เมื่อครั้งมีบทบาทสำคัญในการบริหารช่อง 3 มาอย่างยาวนาน เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2559 แล้วส่งไม้ต่อให้น้องชายคนเล็ก “ประชุม มาลีนนท์” เข้ามาบริหารแทนตั้งแต่ 21 มีนาคม 2560

 แม้ “ประวิทย์” จะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจในกลุ่มทั้งหมด หลังประกาศถอย แต่เป็นที่รู้กันว่าคนในองค์กร ทั้งผู้บริหาร ผู้ผลิตและดารานักแสดง ต่างยังให้ความนับถือในฐานะ “นาย” ผู้สร้างอาณาจักร ทั้งเป็นผู้สนับสนุนการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “นาคี” และงานละครดัง ๆ นับไม่ถ้วน

กลุ่ม “ประวิทย์” ขายหุ้นช่อง 3 เหลือเพียง 4.41%

รายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับรายงานการขายหุ้นของ BEC โดยนายวรวรรธน์ มาลีนนท์ ลูกชายประวิทย์ มาลีนนท์ จำนวน 29.393 ล้านหุ้นเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มของประวิทย์เหลือหุ้นอยู่ใน BEC ทั้งหมดเพียง 4.41 % เท่านั้น จากเดิมถืออยู่ 5.88% เท่ากับพี่น้องคนอื่น ๆ

จากข้อมูลที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 25 สิงหาคม 2560 กลุ่มนายประวิทย์ถือหุ้นผ่านลูกสาวและลูกชายทั้ง 4 คน ได้แก่ อรอุมา วรวรรธน์ วิลิภา และชฎิล ในสัดส่วนคนละ 1.47% รวมเป็น 5.88% แต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ได้แจ้งการขายหุ้นในส่วนของลูกชาย (วรวรรธน์) เรียบร้อยแล้ว

แม้การเทขายหุ้นออกไปในสัดส่วนที่ไม่มากมายอะไร แต่ก็สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในครอบครัวอีกครั้ง

พี่น้อง 3 สาว กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด  

ดังนั้น กลุ่มที่ถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นคือ พี่น้องท้องเดียวกันและเป็นผู้หญิงทั้งหมด ประกอบด้วย รัตนา, นิภา และอัมพร โดยทำการแจ้ง ก.ล.ต.ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 โดยบุคคลทั้งสามได้เป็นผู้ซื้อหุ้นเพิ่มคนละ 11.538 ล้านหุ้น

เท่ากับว่า บทบาทของสามสาวพี่น้อง “มาลีนนท์” จะมีมากขึ้น

ย้อนดูตัวเลขสัดส่วนหุ้นที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 27 สิงหาคม 2560 “รัตนา” 8.41 % “นิภา” และ “อัมพร” ถือหุ้น 5.88% เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงซื้อขายหุ้น (28 กุมภาพันธ์ 2561) จึงส่งผลให้ “รัตนา” ถือหุ้นเพิ่มเป็น 8.98% ส่วนสองคนหลังถือเพิ่มเป็นคนละ 6.46%

หากรวมจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ของ 3 พี่น้องจะเป็นจำนวน 21.9% จากเดิม 20.17%

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ชี้ว่า “การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นชัดว่า อำนาจการบริหารทั้งหมดของบริษัทในขณะนี้ได้อยู่ในมือของ 3 สาวพี่น้องตระกูลมาลีนนท์เรียบร้อยสมบูรณ์”

ปัจจุบัน “อัมพร” นั่งในตำแหน่ง COO ดูแลการผลิตที่เป็น “หัวใจ” หลักของช่อง

ขณะที่ “รัตนา“ ดูแลด้านการเงิน แต่เพิ่งลาออกจากตำแหน่ง CFO และนั่งเป็นบอร์ดบริษัทเพียงตำแหน่งเดียว

ตระกูล “มาลีนนท์” ถือหุ้นรวม 44.56%

กล่าวถึงครอบครัวมาลีนนท์ มีสมาชิกทั้งหมด 8 คน เป็นชาย 4 คน ได้แก่ ประสาร, ประวิทย์, ประชา และประชุม ส่วนผู้หญิง 4 คนคือ รัตนา, นิภา, อัมพร และรัชนี นิพัทธกุศล ทั้ง 8 คนรวมรุ่นลูก ถือหุ้นทั้งหมด 44.56% (ข้อมูล ณ วันที่ 7 มีนาคม 2561)

ซึ่งกลุ่ม “ประสาร” ถือหุ้น 5.90%, กลุ่ม “ประชา” 2.52% , กลุ่ม “ประวิทย์” 4.41%,  กลุ่มของ “ประชุม” 3.95%, กลุ่มของ “รัชนี“ 5.88%, รัตนา 8.98% ส่วนนิภาและอัมพร ถือเพิ่มเป็นคนละ 6.46%

เป็นที่รับรู้กันว่า ตระกูลมาลีนนท์ ในบรรดาลูกชายลูกสาวทั้งหมด ได้รับการจัดสรรหุ้นจาก “วิชัย” ผู้เป็นพ่อในสัดส่วนเท่า ๆ กัน และทุกคนมีสิทธิมีเสียงโหวตได้เท่ากันหมด

ช่วงที่ “ประวิทย์” รับหน้าที่บริหารธุรกิจในเครือทั้งหมด เขาสั่งสมบารมีไว้มาก ด้วยบุคลิกที่อ่อนน้อม ใจดี เข้าหาได้ง่าย ทำให้เขาผูกใจคนไว้มาก โดยเฉพาะพวกดารา ผู้จัด ต่างเคารพนับถือ ในฐานะ “นาย” ตัวจริง

ช่วงนั้นช่อง 3 รุ่งเรืองและร่ำรวยมาก ติดอันดับตระกูลเศรษฐีรวยหุ้นของเมืองไทย บรรดาพี่น้องแฮปปี้อยู่กันอย่างสงบสุข

แต่วันเวลาไม่เหมือนเดิม ทุกสิ่งเริ่มเปลี่ยน โดยเปลี่ยนมือผู้บริหารในตระกูลเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2555 “ประสาร” เข้ามารับตำแหน่งแทน “ประวิทย์” ที่ลาออกจากเก้าอี้ “กรรมการผู้จัดการ” ด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพ แต่เขายังคงมีอำนาจและบารมีอยู่เบื้องหลัง พร้อมช่วยเหลืองานอยู่บ้าง

“ประสาร” เป็นพี่ชายคนโตที่พี่น้องทุกคนรัก เป็นพี่ใหญ่ที่ช่วยแก้ปัญหาความบาดหมางในกลุ่มพี่น้องด้วยกัน เพราะทุกคนเกรงใจ แม้จะเจอสถานการณ์การแข่งขันดุเดือดของทีวีดิจิทัล

แต่ที่สุด “ประสาร” ก็จากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อเดือนตุลาคม 2559 ทิ้งความโศกเศร้า พร้อมข่าวลือที่ปะทุขึ้นในเรื่องความขัดแย้งของคนภายในครอบครัว

โดยมีเรื่องราวของ “ผลประโยชน์” เข้ามาเกี่ยวข้อง และถึงขั้นลือหนักว่า “ผู้บริหารบางคนมีส่วนได้ส่วนเสียในบริษัทที่รับผลิตงานให้กับช่องด้วย”

ทำให้ต้องจัดทัพใหม่ของคนในตระกูลอีกครั้ง แล้ว “ประชุม” น้องเล็กก็ขึ้นกุมบังเหียนแทน โดยได้รับการสนับสนุนจากบรรดาพี่น้องผู้หญิงทั้งหมด พร้อม ๆ กับการลาออกจากทุกตำแหน่งรวมถึงในบอร์ดของ “ประวิทย์” เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2559

ขณะเดียวกัน “ประชุม” เดินหน้าจัดทีมผู้บริหารใหม่ โดยดึง “สมประสงค์ บุญยะชัย” อดีตซีอีโอของอินทัช เข้ามาเป็นกรรมการ BEC ตั้งแต่ 18 มกราคม 2560 และรับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารเมื่อ 27 เมษายน 2560

การมาของ “สมประสงค์” มาพร้อมกับการจัดทัพโครงสร้างผู้บริหารใหม่อีกครั้ง โดยวางระดับบริหาร Chief Executive มากกว่า 10 คน

แต่เมื่อประกาศผลประกอบการของกลุ่ม BEC ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรากฏว่า ผลการดำเนินงานปี 2560 มีรายได้รวม 11,035 ล้านบาท แต่มีกำไรเพียง 61 ล้านบาท รายได้รวมลดลง 10% จากปี 2559 ที่เคยได้ 12,265.8 ล้านบาท แต่กำไรลดลงถึง 95% เป็นตัวเลขรายได้และกำไรน้อยที่สุดตั้งแต่มีทีวีดิจิทัล

พร้อมแจ้งอีกว่า “สมประสงค์” ขอลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร เนื่องจากมีภาระหน้าที่ด้านอื่น ๆ ไม่สามารถมีเวลาให้กับบริษัทได้เต็มที่ แต่ยังคงเป็นกรรมการบริษัทต่อไป มีผลวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันมีข่าวทาบทาม “วรรณี รัตนพล” ประธานบริหาร ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย เข้ามานั่งตำแหน่งแทน แต่ยังรอการตัดสินใจอยู่

“จุฬางกูร” ดอดถือหุ้น 5.02% 

ที่น่าสนใจ เมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2561 มีการแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยว่า “ทวีฉัตร จุฬางกูร” ได้เข้ามาซื้อหุ้นอีก 0.42% รวมกับของเดิมที่มีอยู่ เท่ากับมีหุ้นใน BEC ทั้งหมด 5.02%

ทวีฉัตร จุฬางกูร เป็นทายาทหมื่นล้าน “ซัมมิทกรุ๊ป” เป็นบุตรชายของ “สรรเสริญ จุฬางกูร” เป็นหลานชายของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีเซียนหุ้นรายใหญ่คนหนึ่ง รวมถึงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นกแอร์

ช่อง 3 ในวันนี้จึงเป็นที่ถูกจับตา เหมือนละครโรงใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว โดยมีตัวละครเป็นผู้ขับเคลื่อน.