ไม่ง่ายแล้ว เมื่อกระทรวงการคลัง เตรียมคุมเงินดิจิทัลป้องกันรายย่อยเสียหาย เตรียมเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอีกรายการ พร้อมกับหัก ณ ที่จ่ายร้อยละ 15 เพราะไม่ต้องการส่งเสริมแต่ไม่ปิดกั้น
อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในการจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัลด้วยการให้ตัวกลาง เช่น ตัวแทน ดีลเลอร์ โบรกเกอร์ หักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 15 เมื่อมีเงินได้เกิดขึ้นจากการซื้อขาย เพื่อนำไปใช้คำนวณกำไรและเงินปันผลจากการซื้อขายหรือได้รับผลตอบแทนจากสกุลเงินดิจิทัลในช่วงปลายปี
เมื่อหักเงินนำส่งกรมสรรพากรแล้ว หากมียอดเงินเกินกว่าภาษีต้องจ่ายสามารถขอเคลมคืนเงินภาษีได้ หากจ่ายไม่พอต้องจ่ายเพิ่ม
โดยยอมรับว่าไม่เหมือนกับการหัก ณ ที่จ่ายของดอกเบี้ยเงินฝากของแบงก์ไปเลยครั้งเดียวจบ หรือยกเว้นภาษีการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้น เพราะรัฐบาลไม่ต้องการส่งเสริมให้ซื้อขายเงินสกุลดิจิทัล
เมื่อรัฐบาลกำหนดนิยามว่า คริปโตเคอเรนซี และโทเคน เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลมีมูลค่า จึงต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยใช้ประมวลรัษฎากรปัจจุบันดำเนินการจัดเก็บไม่ต้องออกกฎหมายฉบับใหม่เพิ่ม โดยใช้กฎหมายปัจจุบันบังคับใช้จะดำเนินการไปพร้อมกัน
เมื่อ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีผลบังคับใช้ แนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 จากยอดเงินซื้อขาย เน้นกับกลุ่มตัวแทน ดีลเลอร์ โบรกเกอร์ สำหรับบุคคลรายย่อยได้รับการยกเว้นเหมือนกับการซื้อตราสารทองคำ เพื่อสะสมของนักลงทุนรายย่อยได้รับการยกเว้น
นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังต้องกำหนดให้ ผู้ประกอบการ ทั้งศูนย์ซื้อขาย ดีลเลอร์ โบรกเกอร์ ต้องมาขอใบอนุญาตและดำเนินการตามข้อกำหนด เช่น การยืนยันตัวตน (KYC) และการแจ้งเส้นทางการเงินให้กับ ก.ล.ต.รับทราบ เพื่อป้องกันการฟอกเงินจากเงินผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังมีบทลงโทษ หากกระทำผิดทั้งปรับและจำคุก คาดว่าจะกำหนดให้เอกชนตัวกลางเข้ามาลงทะเบียนขอไลเซนส์ได้ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า อีกทั้งได้คุยกับแบงก์ต่างชาติหลายแห่ง ยอมรับว่าไม่ส่งเสริมให้ลูกค้าซื้อขายสกุลดิจิทัล
ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงไม่ต้องการให้สถาบันการเงินเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล แต่นำระบบบล็อกเชนมาใช้ประโยชน์ในธุรกรรมของแบงก์ได้ เพราะเป็นระบบดี แต่ไม่ได้เปิดซื้อขายสกุลดิจิทัล เพราะ ธปท. ไม่ยอมรับว่าคริปโตเคอเรนซีในการแลกเปลี่ยน แต่ไม่ได้ปิดกั้น เพราะจะถูกมองว่าล้าหลัง เพียงแต่ต้องการควบคุมไม่ให้ได้รับความเสียหาย
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ใช่เป็นการห้ามหรือปิดกั้นการซื้อขายสกุลดิจิทัล แต่ต้องการควบคุมให้อยู่ในขอบเขต ไม่ใช่ปล่อยให้ซื้อขายจนเกิดความเสียหายกับนักลงทุน โดย กระทรวงการคลัง ธปท. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) และ ก.ล.ต.ร่วมกันดูแลอย่างใกล้ชิด โดยหลังจากกฤษฎีกาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม จะนำกลับเสนอ ครม.พิจารณาอีกครั้ง เพื่อประกาศบังคับใช้
ที่มา : mgronline.com/stockmarket/detail/9610000025707