TOA ตั้งเป้ายอดขายปี 2561 เติบโตประมาณ 10% มั่นใจโรงงานใหม่เสร็จตามแผน ดันสัดส่วนรายได้ต่างประเทศพุ่ง ขึ้นแท่นผู้นำสีทาอาคารในอาเซียน


บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) หรือ TOA ตั้งเป้ายอดขายปี 2561 เติบโตประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้จากการขาย 15,717.7 ล้านบาท โชว์ฐานะการเงินแข็งแกร่งและอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำ มั่นใจโรงงานใหม่ 3 แห่งในอินโดนีเซีย เมียนมาร์และกัมพูชาก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ตามแผนงาน ดันกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 102 ล้านแกลลอนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 88 ล้านแกลลอนต่อปี พร้อมวางแผนขยายตลาดและเพิ่มจำนวนร้านผู้แทนจำหน่ายและเครื่องผสมสีอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายขยับสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 15-16% ในปีนี้ จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 13.2% ขึ้นแท่นผู้นำสีทาอาคารในภูมิภาคอาเซียน


นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ผู้นำสีทาอาคารในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนเปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายในปี 2561 เติบโตประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 15,717.7 ล้านบาท และเพิ่มศักยภาพการทำกำไรที่ดีขึ้น โดยจะมุ่งขยายตลาดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนเพื่อสร้างการเติบโตขณะที่ฐานะการเงินของ TOA ในปัจจุบันถือว่ามีความแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดพร้อมขยายธุรกิจ และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.2 เท่า


สำหรับการขยายตลาดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน จะเพิ่มปริมาณเครื่องผสมสีอัตโนมัติภายในร้านผู้แทนจำหน่ายและในห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่อย่างต่อเนื่องอีกประมาณ 400-500 เครื่อง แบ่งเป็นในประเทศไทยประมาณ 150-200 เครื่องและในภูมิภาคอาเซียนประมาณ 250-300 เครื่อง จากสิ้นปีที่ผ่านมาที่มีการติดตั้งเครื่องผสมสีอัตโนมัติแล้ว 6,010 เครื่อง แบ่งเป็นในประเทศไทย 4,204 เครื่อง และในภูมิภาคอาเซียน 1,806 เครื่อง ส่วนการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตสี 3 แห่งในประเทศอินโดนีเซีย เมียนมาร์และกัมพูชา ใช้งบลงทุนรวมกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งโรงงานทั้ง 3 แห่งคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/61 ไตรมาส 4/61 และไตรมาส 1/62 ตามลำดับซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อเพิ่มยอดขายในแต่ละประเทศและก้าวเป็นผู้นำสีทาอาคารในภูมิภาคอาเซียนตามวิชั่นขององค์กร


ขณะที่ภาพรวมตลาดสีทาอาคารในปีนี้คาดว่าตลาดในประเทศจะมีอัตราเติบโต 3-5% หรือมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยมาจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการลงทุนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง การพัฒนารถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง โครงการขยายสนามบิน และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของเมืองและความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์วัสดุตกแต่ง ส่วนแนวโน้มตลาดสีทาอาคารในภูมิภาคอาเซียนคาดว่าในบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย เมียนมาร์ กัมพูชา จะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าประเทศไทย เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังขยายตัวและอัตราการบริโภคสีทาอาคารที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต


นายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TOA กล่าวว่า หลังจากที่โรงงานผลิตทั้ง 3 แห่งในอินโดนีเซีย เมียนมาร์และกัมพูชา ก่อสร้างแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 102 ล้านแกลลอนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 88 ล้านแกลลอนต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดต่างประเทศและการเพิ่มสัดส่วนยอดขายต่างประเทศจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 13.2% เป็นประมาณ 15-16% ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 20% ภายในปี 2562 ส่วนในระยะยาวอีก 3-5 ปีข้างหน้าคาดการณ์ว่าสัดส่วนยอดขายต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 28%


สำหรับประเทศอินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยหลังจากที่โรงงานใหม่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์วางแผนรุกสร้างแบรนด์เพิ่มขึ้น เพิ่มความหลากหลายของรายการสินค้า เพิ่มจำนวนร้านผู้แทนจำหน่ายและการติดตั้งเครื่องผสมสีอัตโนมัติ ตั้งเป้าผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 300 ล้านบาทในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2562 ส่วนในเมียนมาร์และกัมพูชาตั้งเป้ายอดขายในปี 2562 อยู่ที่ 200-300 ล้านบาท และ 300-400 ล้านบาทตามลำดับ หลังจากที่โรงงานใหม่ประเทศดังกล่าวเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย


“เรามองว่าทั้ง 3 ประเทศเป็นตลาดที่มีศักยภาพและกำลังอยู่ในช่วงเติบโตจากปริมาณความต้องการใช้สีทาอาคารที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีกมาก เช่น อินโดนีเซียที่มีอัตราการบริโภคสีทาอาคาร ณ สิ้นปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 6 ลิตรต่อคนต่อปี ขณะที่ประเทศไทยมีอัตราการบริโภคสีทาอาคารเฉลี่ยอยู่ที่ 8 ลิตรต่อคนต่อปี และสิงคโปร์เฉลี่ยอยู่ที่ 15 ลิตรต่อคนต่อปี โดยมองว่าตลาดสีเกรดพรีเมียมมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เนื่องจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสีคุณภาพสูงที่ใช้งานได้ยาวนานเพื่อความคุ้มค่า” นายพงษ์เชิด กล่าว