พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยประชากรแฝงเพิ่ม หนุนดีมานด์คอนโด โซนพญาไท-ราชเทวี ยอดขาย 80-90% นำโซน CBD ชี้จุดเด่นทำเลที่เชื่อมโยงทุกไลฟ์สไตล์


พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร พบทำเล “พญาไท – ราชเทวี” เป็นทำเลศักยภาพสูง เชื่อมโยงความหลากหลายของไลฟ์สไตล์ รายล้อมด้วยสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง ศูนย์การค้าชั้นนำ และการคมนาคมสะดวก ง่ายต่อการเชื่อมต่อไปสู่แหล่งธุรกิจสำคัญ แถมมีดีมานด์จากทั้งนักธุรกิจย่านประตูน้ำ นักลงทุน นักเรียนนักศึกษา รวมถึงประชากรแฝงในกรุงเทพมหานครที่เติบโตทุกปี โดยมียอดอุปสงค์ตอบรับโครงการใหม่สูง 80-90% สูงกว่าโซน CBD และพื้นที่ชั้นกลางที่มียอดตอบรับโดยเฉลี่ย 66%


นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการสำรวจของพลัส พร็อพเพอร์ตี้พบว่าพื้นที่พญาไท-ราชเทวี เป็นพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นกลางที่น่าจับตามองเพราะเป็นพื้นที่ศักยภาพสูงใกล้เคียงกับทำเลกรุงเทพฯ ชั้นใน และแหล่งช้อปปิ้งอย่างสยามสแควร์ สยามพารากอน  และสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง เช่น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฯลฯ ทำให้บริเวณนี้โดดเด่น แตกต่างจากพื้นที่ชั้นกลางอื่นๆ เทียบเคียงกับโซน CBD เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบต่างๆ มากขึ้น ทั้งอพาร์ตเมนต์ โรงแรม/โฮสเทล  Co-Working Space รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมที่เข้ามารองรับความต้องการจากกลุ่มเจ้าของกิจการย่านประตูน้ำ นักลงทุน และกลุ่มผู้ปกครองนักเรียน นิสิต นักศึกษา อีกทั้งพบว่ากรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีจำนวนประชากรแฝงมากที่สุด ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมีการเติบโตประมาณ 50% โดยปี 2559 มีกลุ่มประชากรต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ถึง 2.4 แสนคน ในขณะที่จำนวนอุปทานเสนอขายใหม่ของโครงการคอนโดมิเนียมที่เข้าสู่ตลาดในช่วง 2556 – 2560  ในแต่ละปีมีจำนวนไม่มากนัก ในอนาคตคาดว่าคอนโดมิเนียมบริเวณนี้จะเป็นทำเลหายาก เพราะมีพื้นที่จำกัดในการพัฒนาโครงการ โดยเฉพาะโครงการใกล้สถานีรถไฟฟ้า


สำหรับอุปสงค์ตอบรับโครงการใหม่ในพื้นที่พญาไท-ราชเทวี มีการตอบรับในระดับสูง โดยเฉลี่ยประมาณ 80-90% ซึ่งสูงกว่ายอดขายเฉลี่ยของโครงการใหม่ในโซน CBD และโซนชั้นกลาง ที่เฉลี่ยประมาณ 66% จากการสำรวจล่าสุดพบว่าจำนวนอุปทานคงค้างในปี 2561 เหลือเพียง 300 ยูนิต และหากไม่มีอุปทานเปิดใหม่คาดว่าพื้นที่นี้จะขายหมดภายใน 1 เดือนเท่านั้น ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2560 พบว่าทั้งอุปทานใหม่และอุปทานเก่ามีการตอบรับที่ดี ยอดตอบรับแล้ว 72% อัตราดูดซับอยู่ที่ประมาณ 30ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ และจากที่จำนวนอุปทานใหม่ในตลาดมีไม่มาก ดังนั้นที่อยู่อาศัยโซนนี้จึงมีความต้องการทั้งจากผู้อยู่อาศัยจริงและนักลงทุน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนการลงทุนมีความน่าสนใจมาก โดยพบว่าโครงการประเภท High Rise ที่ตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้าและติดถนนใหญ่มีราคานำกลับมาขายใหม่ (Resale) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 200,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาเติบโตจากตอนเปิดขายโครงการประมาณ 7% ต่อปี มีผลตอบแทนการปล่อยเช่าประมาณ 5% หรือ 20,000 – 25,000 บาทต่อเดือน สำหรับขนาด 1 ห้องนอน 30 – 35 ตารางเมตร ส่วนโครงการประเภท Low Rise ที่นำกลับมาขายใหม่ (Resale) เติบโตประมาณ 4% และมีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 4.5%


“ทั้งนี้หากพิจารณาจากพื้นที่ซึ่งคาดว่าจะมีการพัฒนาโครงการใหม่อย่างจำกัด และในปี 2560 แทบไม่พบการเปิดขายโครงการใหม่ จึงคาดการณ์ว่าราคาคอนโดมิเนียมในโซน พญาไท – ราชเทวี จะมีราคาเพิ่มขึ้นได้สูงไม่แพ้โซน CBD เนื่องจากปัจจุบันเริ่มพบการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ พัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นช้อปปิ้งมอลล์ อาคารสำนักงาน อาคารมิกซ์ยูส โรงแรม ฯลฯ จะยิ่งทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นทำเลที่มีศักยภาพมากขึ้น รวมถึงยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่มีความสะดวกสบายในการเดินทางเชื่อมต่อไปยังย่านสำคัญๆ ได้อย่างง่ายดาย จึงคาดว่าในอนาคตราคาคอนโดฯ ในพื้นที่นี้จะเติบโตได้อีกมาก” นายอนุกูล กล่าว