“บุพเพสันนิวาส” ละครที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการทีวีดิจิทัล สร้างกระแสนิยมไทย แต่งกายไทยย้อนยุค, ศึกษาประวัติศาสตร์ไทย, อาหารไทย เป็นละครที่เปิดช่องทางให้เห็นว่า ทีวีและออนไลน์ สามารถไปด้วยกันได้ และส่งเสริมซึ่งกันและกัน เมื่อคอนเทนต์ปัง ออนไลน์ก็พร้อมตาม อีกทั้งยังช่วยสร้างการตลาดออนไลน์ สินค้ามากมายเกาะกระแสละคร เสนอขายสินค้าไปจนตลอดทั้งเรื่องจนถึงตอนจบ
บทสรุปของละครเรื่องนี้ เรตติ้งตอนจบ วันที่ 11 เมษายน วันที่ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เรตติ้งเฉลี่ยตอนจบทั่วประเทศอยู่ที่ 18.633 แต่ถ้าแยกตามพื้นที่ กรุงเทพ และ หัวเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นฐานของกลุ่มคนเมืองทั่วประเทศ ซึ่งเป็นฐานผู้ชมหลักของช่อง 3 อยู่แล้ว มีเรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 23.013 แต่ถ้าแยกย่อยลงมาเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ไม่รวมหัวเมืองจะได้เรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 23.396 ส่วนพื้นที่นอกเมืองต่างจังหวัด เรตติ้งได้ไป 16.052
ในแง่การตลาด เรตติ้งของกลุ่ม F15+BU คือกลุ่มผู้หญิงอายุ 15 ปีขึ้นไป และอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ เรตติ้งได้สูงถึง 27.732 ถือเป็นเป้าหมายของสินค้าที่ลงโฆษณาในทีวีทั้งหมด
ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าสำหรับผู้หญิง ทั้งเครื่องใช้ส่วนตัวและสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด และเป็นกลุ่มคนเมืองทั่วประเทศ ที่มีกำลังซื้อสูง ตรงกับเป้าหมายของสินค้า ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นตัวเลขสูงที่สูงมาก ทางการตลาดถือว่า คุ้มค่ากับการลงโฆษณามากที่สุด
สำหรับเรตติ้งเฉลี่ยทั้งเรื่อง อยู่ที่ 13.384 สูงกว่าละคร “นางชฎา” ช่อง 7 ในปี 2558 ที่ได้เรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 11.465 และ “นาคี” ของช่อง 3 ในปี 2559 ที่ได้เรตติ้งเฉลี่ย 10.902 กลายเป็นละครที่มีเรตติ้งสูงสุดในยุคทีวีดิจิทัลไปแล้ว
ฟื้นเรตติ้งช่องขึ้นอันดับ 1
“บุพเพสันนิวาส” เป็นละครที่ช่วยปลุกเรตติ้งช่อง 3 จากเดิมที่เคยโดนช่องใหม่มาแรงท้าทาย ทั้งโมโน ,เวิร์คพอยท์ , ช่อง 8 และช่องวัน แต่ช่อง 3 กลับมาตั้งตัวและแซงหน้าช่อง 7 แชมป์เก่าขึ้นมาเป็น ผู้นำเรตติ้งอันดับ 1 ของทีวีดิจิทัลในเดือนมีนาคมได้เป็นครั้งแรก หลังจากเพียรพยายามสู้กันมาตั้งแต่ยุคอนาล็อค
เรตติ้งเดือนกุมภาพันธ์ ช่อง 7 ยังเป็นแชมป์เรตติ้งอยู่ที่ 1.916 ในขณะที่ช่อง 3 อยู่อันดับ 2 ที่ 1.216 พอมาเดือนมีนาคม ช่อง 3 ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ที่ 1.856 และ 1.804 หลังจากที่ “บุพเพสันนิวาส” เริ่มออนแอร์ตั้งแต่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์
นอกจากนี้ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับช่อง 3 ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ในช่วงที่ละครนี้ออนแอร์ ตั้งแต่รายได้จากค่าโฆษณาทางทีวี และออนไลน์ การออกอีเว้นท์ ขายสินค้าลิขสิทธิ์ และสติ๊กเกอร์ไลน์ รวมถึงรายได้จากการขายโฆษณาในช่วงที่จะมารีรีนอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม ในช่วงละครเย็นอีกด้วย
ส่งไม้ต่อ “หนึ่งด้าวฟ้าเดียว
ช่อง 3 ได้วางแผนมาไว้ล่วงหน้าก่อนที่ละครออเจ้าจะดังว่า ชุดในวันพุธและพฤหัสนี้ จะเป็นชุดละครพีเรียดต่อเนื่องจาก “บุพเพสันนิวาส” และต่อด้วย “หนึ่งด้าวฟ้าเดียว” แต่เมื่อกระแสของบุพเพฯมาดัง ปังแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ละครที่ตามต่อมาเริ่มคิดหนัก เป็นความกดดันของผู้จัดละคร “หนึ่งด้าวฟ้าเดียว” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามกำหนดเดิมจะต้องออนแอร์ต่อเนื่องในวันที่ 12 เมษายนทันที การออกอากาศในช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นความน่ากังวลที่เป็นช่วงคนดูไม่มาก เรตติ้งอาจจะไม่มา มีผลต่อภาพรวมของทั้งช่อง และรายได้
บุพเพ ภาคพิเศษ ฟันรายได้ 45 ล้านบาท
ทำให้ช่อง 3 หาทางออก โดยให้มีบุพเพฯตอนพิเศษอีก 3 วัน ยืดเวลาการออกอากาศ “หนึ่งด้าวฟ้าเดียว” ออกไปเป็นวันที่ 25 เมษายน ช่วงที่คนกลับมาจากเทศกาลแล้ว ในขณะเดียวกันช่อง 3 ก็ยังมีรายได้เพิ่มจากการขายโฆษณาในอีก 3 ตอนพิเศษ ในราคานาทีละ 480,000 บาทต่อนาที ออกอากาศวันละ 2.30 ชั่วโมง มีเวลาโฆษณา 31.25 นาทีต่อวัน เท่ากับมีรายได้ 15 ล้านบาทต่อวัน รวมทั้งหมดได้ 45 ล้านบาท เป็นการจบสวย win win ทั้งผู้จัดละครเรื่องเก่า เรื่องใหม่ และช่อง 3 ด้วย
สำหรับ “หนึ่งด้าวฟ้าเดียว” เป็นละครพีเรียดอิงประวัติศาสตร์ แนวรักชาติ รักแผ่นดินเข้มข้น โดยค่ายทีวีซีน เป็นเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ในยุคปลายกรุงศรีอยุธยาก่อน และหลังเสียงกรุง จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี โดยเดินเรื่องผ่าน “ขันทอง”ชายหนุ่มที่ปลอมตัวเข้ามาเป็นขันทีในวังหลวง เพื่อสืบเรื่องราวความลับของคนทรยศชาติ
ละครเน้นเรื่องความรักชาติ เพื่อปลุกกระแสความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ที่สร้างชาติไทยขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ โดยหวังว่าจะสร้างความกระแสความนิยมไทยและให้คนไทยสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ขึ้นมาต่อเนื่อง โดยมี”เอกลิขิต” ที่เคยเขียนบทให้กับ”ข้าบดินทร์”มาเป็นผู้เขียนบท กำกับโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล นักแสดงหลัก “เจมส์ จิรายุ” “แต้ว ณฐพร” และ “อั้ม อธิชาติ”.