เพลงเห่ยที่สุดในโลก ในหนังโฆษณาซูเปอร์มาร์เก็ตที่ได้คำชมล้นหลาม

ไม่ใช่เพลงที่เห่ยที่สุดในภาษาใดภาษาหนึ่ง แต่นี่คือ “The Worst Song in the World” เพลงที่ซูเปอร์มาร์เก็ตฝรั่งเศส Monoprix ใช้เป็นซาวด์แทรคโฆษณาจนได้รับคำชมล้นหลาม บางคนยกว่านี่คือโฆษณาฝรั่งเศสที่ดีที่สุดที่เคยดูมา ขณะที่หลายคนสนใจเพลงนี้และบอกว่าอยากเก็บไว้ฟังส่วนตัวบ้าง

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า Monoprix สามารถใช้เพลงสุดเห่ยมาโปรโมตบริการส่งสินค้าถึงบ้านได้อย่างเก๋ไก๋ สิ่งที่ Monoprix บรรยายในโฆษณาไม่ใช่การบอกแบบดาษดื่นว่าลูกค้าจะได้รับความสะดวกสบายจากบริการเดลิเวอรี่ถึงบ้าน แต่ Monoprix เลือกส่งสารว่าถ้ามัวแต่ต้องถือของ ก็จะไม่มีมือทำอย่างอื่นนะจ๊ะ

เมื่อมีเพลงสุดเห่ยปรากฏในเพลย์ลิสต์ บางทีอาจจะมีเหตุผลที่ดีพอที่จะไม่ได้กดข้ามเพลงนั้นไป Monoprix บรรยายในโฆษณาที่ตัวเองตั้งใจทำให้ผู้ชมสงสัย ว่าทำไมสาวรุ่นรายนี้ถึงต้องทนฟังเพลงที่ตัวเองไม่ชอบ ทำไมไม่กดข้ามเพลงไป

*** ก็มือไม่ว่าง

วิดีโอโฆษณาเพลงเห่ยนี้เป็นผลงานของเอเจนซี่ในปารีส Rosapark และทีมผู้กำกับ Traktor ในวิดีโอฉายให้เห็นความแตกต่างระหว่างช่วงแรกที่นางเอกเดินเล่นตามถนน ฟังเพลงอินดี้ถูกใจพร้อมรอยยิ้มเบา ๆ แต่แล้วหูของเธอก็ถูกโจมตีด้วยเพลงร็อกสังเคราะห์ยุคปี 80 ที่ดูน่าทึ่งและอึ้งไปพร้อมกัน จุดนี้ผู้กำกับเลือกทำมิวสิกวิดีโอเพลงประกอบไปด้วย กลายเป็นแรงกระตุ้นให้เห็นความรู้สึกทนไม่ไหว ของนางเอก

มิวสิกวิดีโอเพลงเห่ยยังถูกมองเป็นไฮไลต์ที่กระตุ้นให้ผู้ชมอินกับนางเอกโฆษณาเพิ่มขึ้น ภาพแสงนีออนรูปทรงเรขาคณิตและดอกไม้ไฟ รวมถึงฉากขับรถจักรยานยนต์ปลอม ผ่านทะเลทรายปลอม และแมวที่มีแว่นกันแดดในสไตล์ภาพ 8 บิต แถมยังผสมเสียงสูงโซปราโนเข้ากับแซกโซโฟน กลายเป็นเพลงที่ชื่อว่าเพลงที่เลวร้ายที่สุดในโลกหรือ The Worst Song in the World.

จุดพีคของโฆษณาคือการเฉลย นางเอกที่ชอบเพลงอินดี้สบายหูไม่อาจทนได้เมื่อเพลงพ้นช่วงท่อนภาษาสเปนสำเนียงละติน เธอร้องตะโกนแล้วปล่อยของทุกอย่างในมือออก ถ้าเธอพูดภาษาไทยได้อาจจะบอกว่าไม่ทนแล้ววววววววววว!!!”

ข้อความบนวิดีโอจึงปรากฏขึ้นมาอย่างมีสไตล์มีมือเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้อย่างเสรีข้อความระบุซื้อของที่ร้านค้า รับของตามที่จัดส่งก่อนจะมีภาพโลโก้ของ Monoprix ในตอนท้ายสุด

โฆษณานี้ของ Monoprix ได้รับคำชมว่าสร้างขึ้นได้น่าสนใจ บนความเข้าใจที่ชาญฉลาดและเป็นกันเอง ชาวมิลเลเนียลที่ไม่ได้มีรถส่วนตัว อาจต้องทนกับเหตุการณ์ที่ไม่ชอบในช่วงเวลาที่ต้องซื้ออาหารของตัวเองแล้วแบกหิ้วเข้าบ้าน Monoprix ต้องการบอกสารนี้ถึงทุกคนที่ไม่อยากทนอีกต่อไป

*** เด็ดที่เนื้อเพลง

หากลงลึกถึงเนื้อเพลง Monoprix หยอดมุกตลกเข้ากับยุคดิจิทัลลงไปด้วย เพราะเนื้อเพลงตอบความคิดของนางเอกได้ว่า เหตุที่ทำให้เพลงนี้โผล่ในเพลย์ลิสต์ คือบางทีคุณพ่ออาจเข้าใช้บัญชีของเธอ (“Maybe your dad is using your account”) หรือไม่ก็แมวเผลอนั่งทับคอมพิวเตอร์ที่บ้าน

Gilles Fichteberg ผู้ร่วมก่อตั้ง Rosapark กล่าวกับสำนักข่าว Adweek ว่าการสร้างเพลงที่เลวร้ายที่สุดในโลกเริ่มต้นด้วยการค้นหาโลกแห่งดนตรีซึ่งห่างไกลจากรสนิยมของนางเอก โดยเนื้อหาทุกอย่างจะถูกบอกผ่านเพลง 

เพลงเป็นบทภาพยนตร์ ที่บอกสิ่งที่เกิดขึ้นในโฆษณา ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราในการเขียนเพลงนี้ คือการค้นหา contrast ที่เหมาะสมระหว่างจักรวาลของหญิงสาวกับจักรวาลของวงดนตรีวงนี้ ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ทำให้เกิดดราม่ากับคนที่ชื่นชอบดนตรีร็อกสังเคราะห์ เนื่องจากโฆษณาต้องการสื่อว่า สาวน้อยที่ดูดี อินเทรนด์ และฟังเพลงอินดี้ลื่นหูนั้นรู้สึกว่าทุกอย่างแย่ลงฉับพลันที่วงดนตรีป๊อปส่งวัฒนธรรมเฉพาะตัวเข้ามาโจมตีหูเธอ

Fichteberg บอกอีกว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเอเจนซีเรื่องการเขียนเพลงที่ยากที่คนจะชอบ ทีมของเขาจึงได้ทำการวิจัยกับผู้กำกับ Traktor และ Schmooze ผู้ผลิตเพลง จากการฟังเพลงที่ขึ้นชื่อว่าฟังยากจำนวนมาก ทีมตัดสินใจเลือกใช้เสียงแซ็กโซโฟน เนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีที่ช่วยให้รื่นรมณ์ได้เมื่อเล่นแต่พอดีเท่านั้น ซึ่งการเล่นเกินพอดีอาจทำให้หูของผู้ฟังเสียหายได้

สำหรับภาษาสเปนตอนท้ายเกิดขึ้นเพราะความไม่เกี่ยวข้อง ภาษาสเปนนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับส่วนอื่นเลย แม้แต่วงดนตรีที่ร้องเพลงนี้ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมต้องร้องเป็นภาษาสเปน

โฆษณาชุดใหม่ถูกมองว่าแตกต่างจากโฆษณาชุด Label of Love ที่ถูกกล่าวขานถึงมากในปี 2017 ที่ผ่านมา ซึ่ง Monoprix ได้รับคำชมเรื่องเพลงประกอบที่ดีมากไม่แพ้กัน.

source