ครั้งแรกของไทย ซีพีเอ็น ทุ่มงบกว่า 5,000 ล้านบาท ลุยศูนย์การค้าโครงการรีเทล ปั้นแบรนด์ “เซ็นทรัล วิลเลจ” รูปแบบใหม่ “ลักชัวรี เอาต์เล็ต ” บนพื้นที่ทำเลทองเนื้อที่ 100 ไร่ ย่านสุวรรณภูมิ พื้นที่ขาย 40,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ตอบโจทย์ขาช้อปแบรนด์เนมทั้งไทยและต่างชาติ
เมื่อวันที่ 24 เม.ย. บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น ผู้นำด้านการพัฒนาศูนย์การค้าของประเทศ ทำศูนย์การค้าใหญ่ๆ มาหลายโปรเจกต์แล้ว เตรียมปั้นแพลตฟอร์มและแบรนด์ใหม่ ประกาศเปิดตัว “เซ็นทรัล วิลเลจ” (Central Village-Bangkok Outlet Experience) วางจุดยืนเป็น “ลักชัวรี เอาต์เล็ต” (Luxury Outlet) มาตรฐานระดับโลกที่สมบูรณ์แบบที่สุดครั้งแรกในไทย ยึดทำเลทองใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ชูไทยเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการช้อปปิ้งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยร้านค้ากว่า 235 ร้านค้า ทั้งแบรนด์ชั้นนำระดับโลกและแบรนด์ไทย ด้วยส่วนลด 35-70% ทุกวันตลอดปี พร้อมการออกแบบในสไตล์ไทยโมเดิร์นผสมผสานความร่มรื่นของธรรมชาติ จับเซ็กเมนต์ใหม่กลุ่ม Young Affluent ที่เป็นนักช้อปแบรนด์เนมในเอเชีย หวังดึงดูดนักช้อปแบรนด์เนมชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ครบครันทั้งร้านอาหาร โรงแรม จุดบริการนักท่องเที่ยว ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมดึงบริษัทที่ปรึกษาเอาต์เล็ตระดับโลกเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการ
เซ็นทรัลพัฒนา ตอกย้ำเบอร์หนึ่งด้านการพัฒนาศูนย์การค้า หวังเป็น Shopping Destination ของไทย
นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและโครงการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ใช้งบประมาณกว่า 5,000 ล้านบาทในการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ คือ “เซ็นทรัล วิลเลจ” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ของบริษัทฯ และไนไทย คือ โครงการลักชัวรีเอาต์เลตสมบูรณ์แบบ ตั้งอยู่บนที่ดิน 100 ไร่ พื้นที่ 40,000 ตารางเมตร ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นโครงการที่ศึกษามานานกว่า 6 ปี โดยมีที่ปรึกษาต่างประเทศคือบริษัท ดิ เอาท์เล็ท คอมพานี เป็นที่ปรึกษาโครงการที่ทำให้กับเอาต์เลตต่างประเทศมาจำนวนมาก เช่น ในญี่ปุ่น ไต้หวัน เป็นต้น
ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์เปิดบริการได้ภายในไตรมาสที่สาม ปี 2562 ในโครงการมีหลายเฟส แต่ตั้งเป้าที่จะสร้างให้เสร็จพร้อมกัน ทั้งเอาต์เลตโรงแรมขนาด 200 ห้อง อยู่ระหว่างเจรจากับเชนต่างชาติที่จะเข้าบริหาร มีซูเปอร์มาร์เกตด้วย โดยแบ่งสัดส่วนเป็น ร้านค้าลักชัวรีแบรนด์เนม 20% ซึ่งมีอินเตอร์แบรนด์ระดับหรูหลายแบรนด์ที่เจรจาและพร้อมที่จะเข้ามาเปิดชอปในเอาต์เล็ตนี้ ที่เหลือเป็นร้านอาหาร ร้านสินค้าไทยแบรนด์ สินค้าที่เป็นเครือของเซ็นทรัลเองด้วย รวมทั้งหมดกว่า 235 ร้านค้า
“อย่าเอาเอาต์เล็ตเราไปเปรียบเทียบกับดิวตี้ฟรี เพราะไม่เหมือนกัน ไม่ได้แข่งขันกับเขา เราแข่งกับพวกลักชัวรี เอาต์เล็ต ด้วยกันเหมือนในต่างประเทศ เช่น โจโฮบารู มาเลเซีย มิตซุยกับกลอเรีย ไต้หวัน โกเทมบะ ญี่ปุ่น ซิตี้เกตุ ฮ่องกง หรือวิสเตร์วิลเลจ ยุโรป เป็นต้น ราคาสินค้าในเอาต์เลตของเราปกติแล้วก็จะต่ำกว่า 35-70% ลดราคาทุกวัน ไม่ต้องรอซีซันนัลเซล” นางสาววัลยากล่าว
สำหรับทำเลที่ตั้งของเราถือว่ามีความเหมาะสมอย่างมาก เพราะอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ เดินทาง 10 นาทีก็ถึง ส่วนคนในเมืองเดินทางเฉลี่ย 45 นาทีก็ถึง อีกทั้งสนามบินสุวรรณภูมิเป็นสนามบินอันดับ 1 ที่มีจำนวนผู้โดยสารมากที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หรือกว่า 55 ล้านคนในปี 2560 และติด 1 ใน 10 อันดับของสนามบินที่มีจำนวนผู้โดยสารมากที่สุดในเอเชียด้วย และคาดว่าในปี 2563 ส่วนขยายของสนามบินจะแล้วเสร็จ จะรองรับผู้โดยสารสูงถึง 60 ล้านคนต่อปี
จับกลุ่ม Young Affluent กลุ่มเป้าหมายใหม่ของแบรนด์เนม
กลุ่มเป้าหมายของโครงการเอาต์เลต เซ็นทรัล วิลเลจนี้เจาะทั้งคนไทยสัดส่วน 65% และคนต่างประเทศสัดส่วน 35% ซึ่งในทำเลย่านนั้นจะมีประชากรมากกว่า 12 ล้านคนที่มีกำลังซื้อพอสมควร และยังจับกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า ยังก์แอฟฟลูเอนต์ หรือ Young Affluent) อายุ 25-40 ปี เป็นคนรุ่นใหม่ ประสบความสำเร็จรวดเร็ว มีรายได้สูง ที่เป็นนักชอปปิ้งแบรนด์เนม รู้จักเปรียบเทียบสินค้า ต้องการสินค้าดีมีคุณภาพ ซึ่งในไทยจากการที่เก็บข้อมูลจะมีประมาณ 2 ล้านคน
ขณะที่กลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างประเทศนั้น ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากถึง 35 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 37 ล้านคนในปีนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักคือ จีน รัสเซีย ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้ามาในเซ็นทรัลวิลเลจเอาต์เลตนี้ประมาณ 10,000 คนต่อวัน หรือประมาณ 6 ล้านคนต่อปี
นางสาววัลยากล่าวว่า ในแต่ละปีบริษัทฯ จะใช้งบลงทุนเฉลี่ย 10,000-15,000 ล้านบาท ในการพัฒนาโครางการต่างๆ ซึ่งในปีนี้โครงการใหม่ที่เปิดตัวคือ เซ็นทรัลวิลเลจ ส่วนโครงการที่เตรียมเปิดบริการในปีนี้ เช่น เซ็นทรัลภูเก็ตส่วนที่สอง เปิดกันยายนปีนี้ โครงการเซ็นทรัลไอซิตี้ที่มาเลเซีย สาขาที่ 34 จะเปิดเดือนพฤศจิกายนนี้ และเซ็นทรัลเวิลด์ที่ปรับปรุงครั้งใหญ่คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์และเปิดบริการได้ทั้งหมดปลายปีนี้ นอกจากนั้นมีอีก 3 สาขาที่จะปรับปรุงครั้งใหญ่ จากปัจจุบันมีสาขาเปิดบริการ 32 แห่ง
“ลักชัวรี เอาท์เล็ต” รีเทลใหม่ของ“ซีพีเอ็น” เพื่อความครบครัน
สำหรับ เซ็นทรัล วิลเลจ เป็นแบรนด์ค้าปลีกลำดับที่ 5 ของกลุ่มซีพีเอ็น จากปัจจุบันมีแบรนด์ต่างๆ ดังนี้ 1. เซ็นทรัล พลาซา ห้างค้าปลีกที่เรียกว่า Regional Mall มีสินค้าบริการครบครัน จับกลุ่มครอบครัวเป็นหลัก 2.เซ็นทรัล เวิลด์ ยูนีคแบรนด์เพียงแห่งเดียวที่เจาะขาช้อปย่านใจกลางธุรกิจ (CBD) 3. เซ็นทรัล เฟสติวัล ศูนย์การค้าที่เติมไลฟ์สไตล์ ให้การช้อปปิ้งมีความสนุกสนานมากชึ้น จับเมืองท่องเที่ยว 4.เซ็นทรัล ภูเก็ต ศูนย์การค้าที่เต็มไปด้วยสินค้าอินเตอร์แบรนด์ แบรนด์เนมหรูมากมาย เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวอินเตอร์เป็นหลัก และ 5. เซ็นทรัล วิลเลจ เอาท์เล็ตขายสินค้าแบรนด์หรูและเป็จิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย ที่ทำให้ซีพีเอ็นมี รีเทลครบทุกรูปแบบ
ส่วนจุดเด่นของ เซ็นทรัล วิลเลจ เป็น ลักชัวรี เอาท์เล็ต ที่ระดมสินค้ามาขายกว่า 235 ร้านค้า และมีแบรนด์แนมหรูจริงๆ ไม่ต่ำกว่า 20% มาขาย ซึ่งซีพีเอ็นได้เจรจาพันธมิตรแบรนด์ท็อปที่ขายใน เซ็นทรัล เอมบาสซี่ และ เซ็นทรัล ภูเก็ต รวมถึงมีแบรนด์ไทย และอินเตอร์แบรนด์ระดับกลาง ไปจนถึงระดับแมสมาบริการ ทำให้ เซ็นทรัล วิลเลจ แตกต่างจากเอาท์เล็ตอื่นในประเทศไทย เพราะส่วนใหญ่จะขายสินค้าแบรนด์ระดับกลาง หรือ แมส เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีแบรนด์หรูเสริมพอร์ตโฟลิโอเอาท์เล็ต
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานปฏิบัติการ กล่าวว่า เซ็นทรัล วิลเลจ เป็นลักชัวรี เอาต์เลตที่มีจุดเด่นแตกต่าง 4 ประการ คือ 1. ความหลากหลายของลักชัวรีแบรนด์เนมทั้งไทยและต่างประเทศกว่า 235 แบรนด์ สินค้าหลากหลายเช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา นาฬิกา สินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าตกแต่งบ้าน เป็นต้น และสินค้าต่างๆ ของกลุ่มเซ็นทรัลด้วย 2. ราคา เป็นสิ่งสำคัญของเอาต์เลต ด้วยส่วนลด 35-70% มีทุกวัน 3. การให้บริการที่มุ่งมั่น หลากหลายเทียบเท่าศูนย์การค้า ทั้งร้านอาหาร ร้านสินค้า จุดบริการนักท่องเที่ยว สนามเด็กเล่น ซูเปอร์มาร์เกต โรงแรม 4. ทำเลที่ตั้งใกล้สนามบินสุวรณภูมิ เดินทางไปยังโครงการเพียง 10 นาที และยังเป็นประตูสู่ภาคตะวันออก ด้วยจำนวนรถยนต์ที่วิ่งผ่านกว่า 200,000 คันต่อวัน หรือ 75 ล้านคันต่อปี รองรับการขยายตัวของเมืองด้วยแผนการขยายสนามบินและรถไฟฟ้า
ปัจจุบันโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ เริ่มก่อสร้างแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเฟสแรกไตรมาส 3 ปี 2562 หากผลตอบรับดีและมีแบรนด์เนมสนใจมากขึ้นจะขยายเฟส 2 และ 3 ต่อไป
สำหรับภาพรวมรายได้ของซีพีเอ็นในปี 2560 อยู่ที่ โดยปีที่แล้วมีรายได้รวม 34,594 ล้านบาท เติบโต 18% จากปี 2559 และมีกำไรสุทธิ 13,568 ล้านบาท เติบโต 47% เนื่องจากรับรู้กำไรพิเศษจากค่าประกันภัยเซ็นทรัลเวิลด์ และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REIT)