ดร.อภิชัย สมบูรณ์ปกรณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในงานแถลงข่าวความร่วมมือ “สมาร์ทวีซ่า (SMART Visa)”โดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) แต่งตั้ง ทรู อินคิวบ์ เป็นพันธมิตรบริษัทเอกชนรายแรกในประเทศไทย ที่สามารถให้การรับรองคุณสมบัติของสตาร์ทอัพต่างชาติที่ยื่นขอสมาร์ทวีซ่า ประเภท SMART “S” โดยสตาร์ทอัพต่างชาติที่จัดตั้งหรือดำเนินกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 ประเภท และได้เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะ (Incubation)หรือ โครงการเร่งการเติบโต (Accelerator) ของทรู อินคิวบ์ ซึ่งเป็นผู้นำด้านสตาร์ทอัพครบวงจรในการให้บริการและส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก ด้วยระบบนิเวศระดับภูมิภาค จะได้รับการรับรองคุณสมบัติการเป็นผู้มีสิทธิได้รับสมาร์ทวีซ่า ณ ห้องบอลรูม 1 โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท
ดร.อภิชัย สมบูรณ์ปกรณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในความก้าวหน้าของโครงการสมาร์ทวีซ่า เพราะประเทศไทยต้องการเป็น ศูนย์กลางของสตาร์ทอัพในภูมิภาคอาเซียน (Startup Hub of Southeast Asia) ต้องการดึงดูดบริษัทสตาร์ทอัพ (Startup Tech Company) และ บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถสูง(Talent) ซึ่งสมาร์ทวีซ่าจะเป็นปัจจัยและแรงจูงใจสำคัญที่จะทำให้บุคลากรชั้นนำด้านเทคโนโลยี (Tech Talent) ต่างๆมาเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย นอกจากนี้ ด้วยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการส่งเสริมการลงทุนและดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถสูงเข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยเฉพาะใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และผลักดันประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มอบหมายให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และผลักดันการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมใหม่ที่คาดว่าจะเป็นกลไกสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า โดยอาศัยการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อช่วยขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานในการพัฒนาและขับเคลื่อนกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพและสามารถผลักดันการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะสั้นและระยะยาวอย่างยั่งยืน
นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีแนวทางในการส่งเสริมโครงการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล โดยสนับสนุนการให้สิทธิและประโยชน์ในการลงทุน การวิจัยและพัฒนาการส่งเสริมนวัตกรรม ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรเฉพาะด้านของกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเป็นที่มาของ โครงการวีซ่าประเภทพิเศษ (SMART Visa) เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารระดับสูง หรือนักลงทุน เข้าทำงานหรือลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง โดย บีโอไอ ได้กำหนดประเภทของการรับรองคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับสมาร์ทวีซ่า ทั้งหมด 4 ประเภท โดยได้รับความร่วมมือจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานที่จะตรวจสอบและให้การรับรองคุณสมบัติของผู้ยื่นขอสมาร์ท
วีซ่า ทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ 1. SMART “T” (Talents) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. SMART “I” (Investors) ลงทุนในบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐานในการทำธุรกิจและอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 3. SMART “E” (Executives) ผู้บริหารระดับสูงที่ทำงานในบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐานในการทำธุรกิจและอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 4. SMART “S” (Startups) กลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น ทั้งนี้ บีโอไอ มั่นใจว่า โครงการสมาร์ท
วีซ่า จะช่วยผลักดันให้เกิดการสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ และนวัตกรรมที่สนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศสู่“ประเทศไทย 4.0”
ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ด้านระบบนวัตกรรม กล่าวว่า โครงการสมาร์ทวีซ่า สอดรับกับแนวทางการดำเนินกลยุทธ์ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.) ในการยกระดับนวัตกรรม สร้างธุรกิจใหม่ และการพัฒนาบุคลากรด้านนวัตกรรม เสริมให้มีผู้เชี่ยวชาญในประเทศในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระตุ้นการลงทุนในสาขาที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสการเรียนรู้เทคโนโลยีและเป็นแหล่งเงินทุนให้คนไทย เพื่อเสริมศักยภาพความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดย สนช. ได้ทำงานร่วมกับ บีโอไอ ในการตรวจสอบและรับรองคุณสมบัติของผู้ยื่นขอสมาร์ทวีซ่าสำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหาร นักลงทุน และสตาร์ทอัพที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 ประเภท รวมทั้ง พิจารณาให้การรับรองคุณสมบัติของสตาร์ทอัพ ในกรณีที่ได้รับการร่วมลงทุนจากหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนี้ สนช. ยังร่วมมือกับภาคเอกชน ในการขยายโอกาสการได้รับสิทธิและประโยชน์สมาร์ทวีซ่าสำหรับสตาร์ทอัพต่างชาติ โดยได้แต่งตั้งให้ ทรู อินคิวบ์ เป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่ได้รับการรับรองจาก สนช. ให้สามารถรับรองคุณสมบัติของสตาร์ทอัพต่างชาติที่เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะ (Incubation) หรือ โครงการเร่งการเติบโต (Accelerator) ของทรู อินคิวบ์ ซึ่งสตาร์ทอัพที่ผ่านการรับรองและมีคุณสมบัติครบถ้วน จะได้รับสิทธิและประโยชน์สมาร์ทวีซ่า อาทิ ระยะเวลาวีซ่าครั้งแรก 1 ปี และขยายสูงสุดไม่เกิน 2 ปี/ครั้ง, ขยายเวลารายงานตัวเป็นทุก 1 ปี (จากปกติ 90 วัน), ทำงานในกิจการที่ได้รับการรับรองโดยไม่ต้องขอใบอนุญาต, ได้รับยกเว้นการขอ Re-entry Permit ในการเข้าออกประเทศไทย รวมถึงสิทธิประโยชน์สำหรับครอบครัวในการพำนักในประเทศไทย เป็นต้น
ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรู อินคิวบ์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่แต่งตั้งให้ ทรู อินคิวบ์ เป็นพันธมิตรภาคเอกชนรายแรกในไทย ที่สามารถให้การรับรองคุณสมบัติของสตาร์ทอัพต่างชาติที่ขอรับสมาร์ทวีซ่า ประเภท SMART “S” โดยสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะ (Incubation) หรือ โครงการเร่งการเติบโต (Accelerator) ของทรู อินคิวบ์ จะได้รับการรับรองดังกล่าวโดยอัตโนมัติ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของหน่วยงานภาครัฐในศักยภาพและมาตรฐานโปรแกรมบ่มเพาะของทรู อินคิวบ์ ซึ่งเป็นผู้นำด้านสตาร์ทอัพครบวงจรในการให้บริการและส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก ด้วยระบบนิเวศระดับภูมิภาค ภายใต้ 4 พันธกิจหลัก ทั้งการสร้างแรงบันดาลใจ, สร้างนวัตกรรม, บ่มเพาะธุรกิจ และการลงทุน นอกจากนี้ เพื่อขยายโอกาสการได้รับสิทธิและประโยชน์สมาร์ทวีซ่าในกลุ่มสตาร์ทอัพชาวต่างชาติ ทรู อินคิวบ์ จึงเตรียมเปิดรับสตาร์ทอัพจากไทยและต่างประเทศเข้าร่วม โครงการ “ScaleUp Batch 5 Startup Grandprix” โปรแกรมบ่มเพาะที่เพิ่มดีกรีความเข้มข้นในระดับภูมิภาค (Regional) ด้วยการผนึกความแข็งแกร่งของเหล่าโค้ชที่เป็นสตาร์ทอัพผู้ก่อตั้งธุรกิจในไทยและอาเซียน เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพสตาร์ทอัพไทยให้ประสบความสำเร็จได้ในเวทีโลก ยิ่งไปกว่านั้น ทรู อินคิวบ์ ยังเตรียมขยายโปรแกรมบ่มเพาะและกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่โครงการ ทรู ดิจิทัล พาร์ค สุขุมวิท 101 ศูนย์กลางด้านดิจิทัลของไทย ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการราวปลายปีนี้ เพื่อเติมเต็มระบบนิเวศครบวงจรสำหรับสตาร์ทอัพไทยด้วย