ธนาคารกสิกรไทยประสานความร่วมมื อสำนักงานพัฒนาวิสาหกิจแห่ งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ( The Agency for Enterprise Development) ภายใต้ กระทรวงการวางแผนและการลงทุน (MPI) ประเทศเวียดนาม พั ฒนาเอสเอ็มอีในเวียดนามให้มีศั กยภาพ ตอบรับนโยบายการค้าการลงทุนระดั บทวิภาคีของทั้ งประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ตั้งเป้ายกระดับศั กยภาพของเอสเอ็มอีทั้ งสองประเทศเพื่อเพิ่มมูลค่ าการค้าระหว่างกัน ให้เติบโตกว่า 30% เป็น 20,000ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2563
นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทยเปิดเผยว่า ธนาคา รกสิกรไทยมียุทธศาสตร์สำคั ญในการสร้างเครือข่ายบริ การในประเทศอาเซียนบวกสาม (AEC+3) เพื่อรองรับการขยายตั วของบริษัทและกลุ่มผู้ ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้ สามารถต่อยอดธุรกิจออกไปสู่ ตลาดที่มีศักยภาพในภูมิภาคได้ ซึ่งภายหลังจากการเปิ ดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ส่งผลให้เวียดนามเป็นหนึ่งในที่ หมายสำคัญที่นักธุรกิจทั้ งไทยและต่างประเทศต้องการเข้ าไปลงทุน เนื่องจากมีความพร้อมด้ านแรงงานที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว มีทัศนคติที่ดีในการพัฒนาศั กยภาพตนเอง เป็นแหล่งวัตถุดิบ และตลาดรองรับสินค้าที่มีศั กยภาพ ด้วยจำนวนประชากรมากกว่า 90 ล้านคน โดยในปี 2560 ประเทศไทย เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุ ดของประเทศเวียดนามในภูมิ ภาคอาเซียน ด้วยมูลค่าการค้าระหว่างกั นจำนวน 15,110ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 30.5% ของมูลค่าการค้ ารวมระหว่างเวียดนามกับอาเซียน ขณะที่มูลค่าการลงทุ นทางตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) เข้าสู่ประเทศเวี ยดนามมีจำนวนถึง 3.17 แสนล้ านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินลงทุนจากนักลงทุ นไทยจำนวน 8.5 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ สูงเป็นลำดับที่ 9 ของนักลงทุ นรายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม และมีธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในรู ปแบบการซื้อและควบรวมกิ จการของเวียดนาม รวมมูลค่ากว่า 7 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ ซึ่งกลุ่มธุรกิจดังกล่าวล้วนเป็ นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยทั้งสิ้ น อาทิ ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธุรกิจโรงแรม กลุ่มวัตถุดิบและอุปกรณ์ก่อสร้ าง และ กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น สะท้อนความสนใจของภาคธุรกิ จไทยที่มีต่อตลาดประเทศเวียดนาม
ธนาคารกสิกรไทย และสำนักงานพัฒนาวิสาหกิจแห่ งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จึงได้ร่วมกันจัดทำบันทึกข้ อตกลงความเข้าใจ (MOU) โดยสาระสำคัญเพื่อส่งเสริ ม สนับสนุนการสร้างธุรกิจเอสเอ็ มอีให้มีศักยภาพในการดำเนินธุ รกิจที่มีความเป็นสากล (SMEs Internationalization) พร้ อมกับขยายโอกาสทางการค้ าและการลงทุนของทั้ งสองประเทศให้เพิ่มมากขึ้นผ่ านความร่วมมือกันในทุกมิติ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างบู รณาการและยั่งยืน โดยธนาคารกสิ กรไทยจะนำประสบการณ์และความเชี่ ยวชาญทางด้านการสร้างและพัฒนาธุ รกิจเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างแข็ งแกร่งในประเทศไทย มาใช้ในการยกระดับความร่วมมื อในการสนับสนุนการค้าระดับทวิ ภาคี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเพิ่ มมูลค่าการค้าระหว่ างประเทศไทยและเวียดนาม จากมูลค่า 15,110 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ ในปี 2560 เป็น 20,000 ล้ านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเติบโตกว่า 30% ภายในปี 2563
นายพิพิธ กล่าวเสริมว่า ในปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทย มีสำนักงานผู้แทนในเวียดนามอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ สำนักงานผู้แทนกรุงฮานอย และสำนักงานผู้แทนนครโฮจิมินห์ ที่ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มความคล่ องตัวในการดูแลธุรกิจของลูกค้ าคนไทยที่ต้องการขยายตลาดไปยั งเวียดนาม ทั้งเพื่อการค้าระหว่ างประเทศและเพื่อการลงทุนในเวี ยดนาม รองลงมาคือลูกค้าบริษัทจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่ต้องการขยายธุ รกิจในเวียดนาม รวมทั้งมีความพร้อมที่จะให้ คำปรึกษาแก่ธุรกิ จขนาดกลางและขนาดเล็กของเวี ยดนามที่เป็นหนึ่งในซั พพลายเชนของลูกค้าธนาคารกสิ กรไทย นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยมีแผนจะยกระดั บสำนักงานผู้แทนในเวียดนาม ให้เป็นสาขาธนาคารต่างประเทศ ( Foreign Bank Branch) ต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ธนาคาร ฯ เพิ่มบทบาทในการให้บริการด้ านการเงินที่มากขึ้น รวมทั้งการให้การสนับสนุนธุรกิ จผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของเวี ยดนามด้วย