ทำตลาดป้อนให้คนดื่มกาแฟ “ในบ้าน” มานาน ให้ลูกค้าทั่วไปและร้านค้ามานาน ได้เวลา “เนสกาแฟ” จะต้องบุกตลาด “กาแฟนอกบ้าน” สร้างหน้าร้านของตัวเอง เพื่อตอบโจทย์ร้านกาแฟในยุคคลื่นลูกที่สาม ที่ต้องเน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า ที่มีความต้องการซับซ้อนมากขึ้น
ด้วยการเปิดตัวร้านกาแฟเนสกาแฟฮับ (NESCAFÉ Hub) สาขาแรกในไทย ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสชิดลม เป็นทำเลแรกในการปักธงเข้าสู่ตลาด
ถือเป็นการพลิกโฉมเกมการทำตลาดกาแฟในประเทศไทย โดยได้ถูกกำหนดให้เป็นเสาหลักของโมเดลธุรกิจใหม่ของเนสกาแฟในการรุกตลาดกาแฟนอกบ้าน ซึ่งจะมีโมเดลร้านกาแฟหลากหลายเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
เนสกาแฟ เปิดเผยว่า จากการเก็บข้อมูลของ Euromonitor พบว่า ในปี 2017 ตลาดกาแฟนอกบ้านมีมูลค่ากว่า 26,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่ง 41% ของตลาดกาแฟโดยรวม โดยที่เหลือ 59% เป็นกาแฟที่ดื่มในบ้าน มูลค่า 38,000 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งตลาด 64,000 ล้านบาท เฉพาะในส่วนของกาแฟนอกบ้านเติบโตถึง 8% โดยจำนวนนี้เป็นส่วนแบ่งของกลุ่ม Specialty Coffee Store 64% มูลค่า 17,000 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราเติบโตสูงถึง 15.7% โดยตลาดร้านกาแฟในไทยที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังเป็นสัญญาณที่เนสกาแฟต้องการสื่อสารว่า ตลาดร้านกาแฟไทย ก้าวสู่ยุคคลื่นลูกที่สาม (Third Wave) แล้วอย่างเต็มตัว
ศุภวัฒน์ คามีเยาน์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนากลุ่มธุรกิจกาแฟ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด สรุปให้ฟังสั้น ๆ ว่า มีการพัฒนามาแล้ว 3 ยุค
ร้านกาแฟในยุคคลื่นลูกที่หนึ่ง คือ ร้านกาแฟสไตล์ดั้งเดิมเต็มรูปแบบที่ได้มาจากวัฒนธรรมการดื่มกาแฟแบบตะวันตก หรือนึกภาพง่าย ๆ ก็คือร้านกาแฟแบบนั่งจิบในร้านสไตล์ยุโรปอย่างปารีส
ส่วนคลื่นลูกที่สอง คือ การเข้ามาของเชนร้านกาแฟที่แต่ละแบรนด์มีการเปิดร้านมากกว่า 1 สาขา แต่เมนูกาแฟส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการนำเสนอแต่เมนูกาแฟพื้นฐานทั่วไป
ร้านกาแฟในยุคคลื่นลูกที่สาม จะเป็นยุคของการชงกาแฟที่หลากหลายมากขึ้น มีการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการชงกาแฟเพื่อรักษาบอดี้และรสชาติกาแฟเข้ามาใช้มากขึ้น เช่น กาแฟ Nitro, การชงหลอดแก้ว ฯลฯ โดยเป้าหมายส่วนใหญ่เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า
สำหรับเนสกาแฟฮับที่เปิดตัวครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ตอบโจทย์ร้านกาแฟในยุคคลื่นลูกที่สาม แต่ยังส่งสัญญาณการเปิดตลาดใหม่มูลค่าสูงในส่วนของการบริโภคกาแฟระหว่างการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะของคนไทยอีกด้วย
เพราะจากมูลค่าตลาดกาแฟที่ เนสกาแฟ ประเมินว่าตลาดกาแฟที่คนไทยดื่มระหว่างเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน เช่น สนามบิน สถานีรถไฟ ระหว่างการเดินทางโดยรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน ฯลฯ (ไม่รวมกาแฟในปั๊มน้ำมัน) มีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท
“เทรนด์ที่เราเห็นจากตลาดร้านกาแฟในปัจจุบัน พบ 3 เรื่องหลักคือ ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมายจากร้านกาแฟที่หลากหลาย แนวโน้มสำคัญคือการปรับตัวของร้านกาแฟสู่ระดับพรีเมียมมากขึ้น (Premiumization) เพราะผู้บริโภคมีความซับซ้อนมากขึ้น ต้องการบริโภคกาแฟพรีเมียม บวกกับเทรนด์เรื่องสุขภาพ ซึ่งเห็นได้ชัดจากเมนูอย่างกาแฟดำ หรือ อเมริกาโน่เย็นกลายเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมมากขึ้น” แวลดดิสลาฟ อังดรีฟ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด
เมื่อนำมูลค่าตลาดและเทรนด์ที่เกิดขึ้นมารวมกัน เนสกาแฟจึงตัดสินใจเลือกที่จะเปิดโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อเสนอกาแฟคุณภาพที่เข้ากับเทรนด์ เพื่อมุ่งใช้เป็นตัวขับเคลื่อนตลาด โดยตอบโจทย์การบริโภคกาแฟในรูปแบบ On the Go ซึ่งเป็นอีกมิติที่เนสกาแฟรักษาความเป็นแบรนด์ผู้นำในตลาดกาแฟด้วยการนำเทรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาสู่โลกของกาแฟอีกครั้ง
Nescafe Hub นิยมในเอเชีย ตอบโจทย์หลากหลาย
เนสกาแฟฮับเกิดขึ้นเพื่อสร้างการเติบโตของตลาดกาแฟนอกบ้าน เป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมอยู่ในประเภทแถบเอเชีย
โดยเริ่มมีครั้งแรกในญี่ปุ่น จากการเปิดแฟลกชิปสโตร์ที่ฮาราจูกุ เมื่อ 8 ปีก่อน มุ่งกลุ่มผู้บริโภคกาแฟนอกบ้านเหมือนที่เกิดขึ้นในไทยครั้งนี้ แต่ไม่ได้โฟกัสที่กลุ่ม Transit เหมือนไทย และไม่เหมือนกับที่เกิดขึ้นในมาเลเซีย ที่มุ่งเน้นเปิดร้านในมหาวิทยาลัยเป็นหลัก แต่จะคล้ายกับที่เกาหลีใต้ซึ่งมีแฟลกชิปสโตร์อยู่ในแหล่งช้อปปิ้งอย่าง อีแทวอน เช่นกัน เพราะเกิดขึ้นเพื่อจับกลุ่มคนที่มารวมตัวกันในแหล่งช้อปปิ้ง
ส่วนเนสกาแฟฮับ สาขาแรกบนสถานีรถไฟฟ้าชิดลม ที่จับกลุ่ม Transit โดยตรง แต่ก็เลือกกลุ่มเป้าหมายไว้หลากหลาย เพราะจากทำเลของสถานีที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง และจัดเป็น Trendy Area จึงมีทั้งห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงานในบริเวณใกล้เคียงจำนวนมาก
โดยกลุ่มเป้าหมายของร้านเนสกาแฟฮับสาขาแรกในไทย ขนาด 1.8×6 เมตร จะเน้นทั้งกลุ่มพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา นักท่องเที่ยว และนักช้อป ที่มีสถิติการเดินเข้าออกสถานีรวมประมาณ 15,000 คนต่อวัน โดยเนสกาแฟฮับตั้งเป้าว่าจะมียอดจำหน่ายอย่างน้อย 300 แก้วต่อวัน.