ไม่เปลี่ยนไม่รอด! ค้าปลีกยุคใหม่ เจอรอบด้าน 2 ปีชี้ชะตา จะไปต่อ หรือเป็นแค่ผู้ตาม

ทุกวันนี้ ผู้บริโภคกำลังมองหาคุณค่าความสะดวกและประสบการณ์เฉพาะตัว แนวโน้มความต้องการเหล่านี้จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของตลาดและรูปแบบธุรกิจในปัจจุบันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งที่เข้ามาทดแทนธุรกิจค้าปลีกมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยน

เพื่อที่จะได้แข่งขันกับคู่แข่งที่มาพร้อมกับธุรกิจรูปแบบใหม่และสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโต นวัตกรรมและคู่ค้าทางธุรกิจจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลง

แม้กว่า 65% ของ CEO ในธุรกิจค้าปลีก มีความเห็นตรงกันว่าองค์กรของพวกเขาส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงและมีการนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ

แต่ 40% ยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจได้สำเร็จ จากผลสำรวจ Global Consumer Executive Top of Mind survey, No Normal is the New Normal: Make disruption work for your business ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นปีที่ 6 โดย เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล และซีจีเอฟ (The Consumer Goods Forum: CGF) เปิดเผยถึงสถานการณ์ธุรกิจค้าปลีกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเข้มข้น และ CEO จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงในระดับที่ใกล้เคียงกันเพื่อให้ยังสามารถแข่งขันได้

ปัจจุบัน ผู้บริโภคและธุรกิจค้าปลีกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก CEO จำเป็นต้องรับฟังผู้บริโภคคาดการณ์อนาคตและมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงธุรกิจ วิลลี่ ครูห์ ประธานฝ่ายธุรกิจผู้บริโภคและค้าปลีก เคพีเอ็มจี กล่าว

ท่ามกลางอุปสรรคในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งภายในและภายนอก อย่างไรก็ดี ทั้ง 2 ปัจจัย นับเป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินงานภายในองค์กรที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หลายบริษัทที่ไม่สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทัน

ผลสำรวจพบว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2020 สถานการณ์ของธุรกิจค้าปลีกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

• เปลี่ยนสู่รูปแบบใหม่

CEO ต่างลงความเห็นว่า รูปแบบธุรกิจในปัจจุบันและแบบดั้งเดิมจะไม่สามารถอยู่รอดจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

• จำนวนหน้าร้านที่ลดลง

ผู้ทำแบบสำรวจจากทวีปอเมริกาเหนือสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงนี้โดยตรง โดย 37 เปอร์เซ็นต์ลงความเห็นว่า มีแผนจะปิดหน้าร้านภายใน 2 ปี

• ยอดขายที่เพิ่มขึ้นผ่านช่องทางจัดจำหน่ายของตนเอง

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็ว CEO จากทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรปและลาตินอเมริกา ลงความเห็นว่า พวกเขาจำเป็นต้องขายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายของตนเองมากขึ้น

ต้องมีกลยุทธ์รับผิดชอบต่อสังคม

หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจที่พวกเรากำลังจะได้เห็น คือการวางแผนกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมให้มีความสำคัญมากกว่ากลยุทธ์อื่นๆ ปีเตอร์ ฟรีดแมน กรรมการผู้จัดการ ซีจีเอฟ (TheConsumer Goods Forum: CGF) กล่าว

ผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวมิลเลเนียลที่มีอัตราการใช้จ่ายสูงถึง 2.75 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคทั้งหมด ต้องการทราบว่า จุดยืนของแต่ละธุรกิจค้าปลีกคืออะไร เนื่องจากผู้บริโภคเลือกที่ใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชน ดังนั้น ผลตอบแทนทางการเงินไม่เพียงพออีกต่อไป

3 ความท้าทายค้าปลีกในเอเชีย

ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ความท้าทาย 3 อันดับแรกของธุรกิจค้าปลีก

ได้แก่

  • ความคาดหวังและการเปลี่ยนแปลงของประชากร (34%)
  • คู่แข่งที่มาพร้อมกับธุรกิจรูปแบบใหม่ (31%)
  • ร้านค้าปลีกที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ของตนเอง (26%)

แอนสัน เบย์ลี่ หัวหน้าดูแลรับผิดชอบ ฝ่ายธุรกิจผู้บริโภคและค้าปลีก ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เคพีเอ็มจี ประเทศจีน ระบุว่า 58% ของชาวมิลเลนเนียลทั่วโลกอาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น

ทุกวันนี้ ผู้บริโภคกำลังมองหา คุณค่าความสะดวกและประสบการณ์เฉพาะตัว แนวโน้มความต้องการเหล่านี้จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของตลาดและรูปแบบธุรกิจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งที่เข้ามาทดแทนธุรกิจค้าปลีกมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะได้แข่งขันกับคู่แข่งที่มาพร้อมกับธุรกิจรูปแบบใหม่และสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโต นวัตกรรมและคู่ค้าทางธุรกิจจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลง นิตยา เชษฐโชติรส กรรมการบริหาร ฝ่ายธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค เคพีเอ็มจี ประเทศไทย กล่าว

สำหรับธุรกิจค้าปลีกที่มีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตนเองอาจจำเป็นต้องรับมือกับผู้ผลิตสินค้าในบางกรณี ตัวอย่างเช่น ถ้าสินค้าของเรามีราคาสูงผู้บริโภคจะมองสินค้าทดแทน หรือถ้าผู้ผลิตเดินหน้าขายสินค้าของพวกเขาเองตรงไปยังผู้บริโภค

ธุรกิจค้าปลีกอาจทดแทนด้วยการผลิตสินค้าของตนเอง หรือปรับราคาสินค้าของตนเองให้แข่งขันได้ ศึกษาตัวอย่างจากผู้นำ CEO

จัดอันดับความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้แข่งขันได้อย่างไร?

บริษัทชั้นนำด้านดิจิทัลนำเสนอแผนการเพื่อการเติบโตดังนี้

• จัดลำดับประสิทธิภาพการทำงาน

76% ของผู้นำด้านดิจิทัลที่เห็นด้วยกับความเห็นนี้ จะมุ่งเน้นไปยังการกำกับดูแลและการควบคุม พนักงาน และวัฒนธรรมองค์กร การเติบโตของรายได้และการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ตามลำดับในอีกปีข้างหน้า

• สร้างการเปลี่ยนแปลง

88% ของผู้นำด้านดิจิทัล ลงความเห็นว่าพวกเขาจะนำอุตสาหกรรมก้าวข้ามผ่านการเปลี่ยนแปลงแทนที่จะไม่ทำอะไรเลยและเฝ้ามองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

• มีมาตรการจัดการลดความเสี่ยงที่สูง

เพียง 17% ของผู้นำด้านดิจิทัลเชื่อว่า อุปสรรคที่ขัดขวางการใช้นวัตกรรม คือการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

• เพิ่มการสร้างความผูกพันกับลูกค้า

เกือบ 80% ของผู้นำด้านดิจิทัลจะให้ความสำคัญกับลูกค้าเพื่อเพิ่มรายได้

ความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงอย่างเข้มข้นนั้นไม่จำกัดเฉพาะตลาดผู้บริโภคและธุรกิจค้าปลีก จากรายงาน CEO Outlook โดยเคพีเอ็มจี พบว่า 71% ของ CEO เตรียมพร้อมที่จะนำพาองค์กรเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจอย่างเข้มข้น

ผลสำรวจ CEO Outlook ล่าสุด โดยเคพีเอ็มจี แสดงให้เห็นว่า 60-70% ของ CEO เชื่อว่า อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากกว่า 50 ปีที่ผ่านมา

กระแสการเปลี่ยนแปลงจะครอบคลุม 3 มิติ ได้แก่ ด้านภูมิศาสตร์และการเมือง ด้านประชากรและด้านเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และธุรกิจทั่วโลกจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน

เพื่อให้ประสบความสำเร็จท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เข้มข้น การสำรวจในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า เราจำเป็นต้องคำนึงถึงการทำงานร่วมกันในรูปแบบใหม่ดังที่ได้เห็นอย่างชัดเจนจากการเติบโตของรูปแบบของการดำเนินธุรกิจ แต่หลายวิธีที่เคยใช้ในสมรภูมิทางการค้าอาจจะเปลี่ยนไปเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างบริษัทที่เคยเป็นคู่แข่งจนกลายมาเป็นคู่ค้าที่มีศักยภาพก็เป็นได้ฟรีดแมน กล่าวเสริม

อ่านผลสำรวจฉบับเต็มของ ‘Global Consumer Executive Top of Mind survey, No Normal is the New Normal: Make disruption work for your business’ ได้ที่: www.kpmg.com/topofmind

‘Global Consumer Executive Top of Mind’

‘Global Consumer Executive Top of Mindซึ่งจัดทำขึ้นเป็นปีที่ 6 ทำการสำรวจผ่านทางโทรศัพท์และออนไลน์ระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายน 2561 โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากธุรกิจค้าปลีก 530 ราย ใน 28 ประเทศ เข้าร่วมทำแบบสอบถามในครั้งนี้ อยู่ทั้งในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งภาคการผลิตและการค้าปลีก โดยกว่า 87 เปอร์เซ็นต์เป็นธุรกิจมีรายได้ประจำปีอย่างน้อย 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทที่ร่วมทำการสำรวจในครั้งนี้มียอดขายไปสู่ผู้บริโภคมากกว่า 3.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ