เรื่อง : Thanatkit
ธุรกิจเครื่องดื่มน้ำอัดลมต้องเผชิญกับความท้าทายจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพ
ดังนั้นยุทธศาสตร์ต่อไปของเป๊ปซี่ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) หรือ SPBT” ซึ่งเกิดจากการควบรวมกิจการระหว่าง ระหว่าง “เป๊ปซี่ โค” จากอเมริกา และ “ซันโทรี่” จากญี่ปุ่น ภายใช้ชื่อบริษัทใหม่ “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) หรือ SPBT” ด้วยทุนจดทะเบียน 19,680 ล้านบาท จึงต้องเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในมือเพื่อสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค
โอเมอร์ มาลิค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ได้บอกถึงวิสัยทัศน์ในปี 2018 – 2019) ภายใต้กลยุทธ์ธุรกิจ 5 ข้อ
- สร้างองค์กรที่แข็งเกร่งในตลาดเครื่องดื่มของไทย ที่มีมูลค่า 154,000 ล้านบาท1
- สร้างโอกาสการเติบโตด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้นทั้งในกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น
- ขยายพอร์ตโฟลิโอในกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ซึ่งซันโทรี่ค่อนข้างชำนาญในด้านนี้ โดยเฉพาะเพิ่มสัดส่วนของเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลไม่เกิน 100 แคลอรีต่อปริมาตร 12 ออนซ์ ให้ได้ 2 ใน 3 ของพอร์ตโฟลิโอภายในปี 2568
- ผสานจุดแข็งของทั้งสองบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้รวดเร็ว และสร้างความก้าวหน้าทางอาชีพได้รวดเร็ว
- สร้างโอกาสให้พนักงาน และเพิ่มการจ้างงานในตำแหน่งใหม่ๆ อีกกว่า 40 ตำแหน่ง พร้อมกับวางแผนพัฒนาบุคลากร ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรฝึกอบรมกว่า 157 หลังสูตร จำนวนชั่วโมงการฝึกอบรม 12,465 ชั่วโมง และมีการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในการจัดการฝึกอบรมแก่พนักงาน
สิ่งที่ SPBT ต้องการมุ่งเน้น คือ การสร้างโอกาสใหม่ๆ ด้วยการขยายพอร์ตเครื่องดื่มเพื่อความสดชื่นทุกชนิด ทั้งเครื่องดื่มเกลือแร่ ชาและกาแฟพร้อมดื่ม น้ำดื่มบรรจุขวด และน้ำผลไม้ รวมถึงสินค้าใหม่ๆ ในอนาคต ผลิตภัณฑ์ล่าสุดของ SPBT คือ มิรินด้า มิกซ์–อิท เครื่องดื่มน้ำอัดลมสองกลิ่นผลไม้ในขวดเดียว เพื่อตอบสนองเทรนด์ของวัยรุ่น และผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพไปพร้อมๆ กัน ด้วยสูตรน้ำตาลน้อยกว่า 6 กรัมต่อ 100 มล. และได้รับตราสัญลักษณ์
ดังนั้นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลไม่เกิน 100 แคลอรีต่อปริมาตร 12 ออนซ์ ให้ได้ 2 ใน 3 ของพอร์ตโฟลิโอ ภายใน 2025 ซึ่งเป็นแผนระยะยาว 10 ปี (2016 – 2025)
ที่ผ่านมา SPBT ได้ทยอยวางตลาดสินค้าเครื่องดื่มที่ลดปริมาณน้ำตาลลง อาทิ เครื่องดื่มอควาฟิน่า วิตซ่า, มิรินด้า มิกซ์–อิท, เป๊ปซี่ แมกซ์ เทสต์ (ปราศจากน้ำตาล), ชาเขียวลิปตัน กลิ่นมะม่วงใบเตย และเซเว่นอัพ โลว์ชูการ์ และเตรียมที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพิ่มเติมอีกมากมาย
เหตุผลหลักที่ทำให้ SPBT ต้องวางยุทธศาสตร์เช่นนี้มาจาก ข้อมูลของผู้บริโภคชาวไทยที่ว่า 37% ของประชากรทั้งหมดออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และ 68% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ให้ความสำคัญกับอาหารบำรุงสุขภาพ เป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าผู้บริโภคชาวไทยในวันนี้อินกับ “เทรนด์รักสุขภาพ” มากแค่ไหน
แน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่ออาหารและเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานเป็นหลัก โดยเฉพาะ “น้ำอัดลม” ที่ต้องปรับตัวเองให้รับกับพฤิตกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค
“ผู้บริโภคเวลาจะเลือกทานอะไรจะใส่ใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่มีมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ฝั่งของเป๊ปซี่เองก็ได้พยายามหาสินค้าเข้ามาเสริม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในเรื่องสุขภาพ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่มีน้ำตาลต่ำ น้ำตาล 0% หรือแม้กระทั่งน้ำแร่ เป๊ปซี่ก็จะนำเข้ามา ซึ่งเป็นการผสานกับกลุ่มซันโทรี่ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจร่วมลงทุนกับซันโทรี่ ด้วยซันโทรี่มีความเข้มแข็งและถนัดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ”
2 เหตุผลทำธุรกิจให้สำเร็จ
โอเมอร์ มองว่า ประเทศไทยเป็นตลาดผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่และมีการขยายตัวของกลุ่มคนชั้นกลางอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดเครื่องดื่มมีการเติบโตและมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย แต่ด้วยพอร์ตโฟลิโอที่แตกต่างและสมดุลรวมทั้งความมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค จึงเชื่อมั่นว่า SPBT จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่แข็งแกร่งในตลาดเครื่องดื่มและตลาดน้ำอัดลมได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต้องประกอบด้วย 2 ข้อ คือ
- ต้องรู้ว่าผู้บริโภคชอบอะไร ต้องการอะไร เพราะฉะนั้นการใส่ใจเรียนรู้ข้อมูลของผู้บริโภคในเรื่องของความพึงพอใจเป็นสิ่งที่สำคัญ
- การมีแบรนด์ที่แข็งแรง ซึ่งสิ่งที่จะมายืนยันประกอบด้วย 2 ข้อคือ คุณภาพของสินค้า และความไว้วางใจ หรือความผูกพันของผู้บริโภค
สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จคือ R&D การวิจัยและพัฒนาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค การผลิตที่ได้มาตรฐาน และกระบวนการจัดจำหน่ายเพื่อให้เชื่อมั่นได้ว่าผู้บริโภคจะมีสินค้าในทุกที่ที่ต้องการในตลาด
รู้จัก “ซันโทรี่” และ “เป๊ปซี่โค”
ก่อนหน้าที่จะเข้าจะตั้งบริษัทใหม่ร่วมกันในเมืองไทย ทั้งคู่ได้ทำธุรกิจร่วมกันมาแล้ว 35 ปี ในหลายประเทศ ทั้งอเมริกา นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สเปน เวียดนาม
สำหรับ “ซันโทรี่” เป็นธุรกิจเครื่องดื่มสัญชาติญี่ปุ่นที่ก่อตั้งเมื่อปี 1899 ปัจจุบันมีบริษัทในเครือทั่วโลก 312 แห่ง มีพนักงานในเครือทั้งหมด 37,745 คน ปี 2017 มีรายได้รวม 19,200 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น อาหารและเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ 57%, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 33% และอื่นๆ 10%
ส่วน “เป๊ปซี่โค” บริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจากประเทศสหรัฐอเมริกา ปี 2017 มีรายได้รวมกว่า 63,500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมี 22 แบรนด์ ที่สร้างยอดขายปลีกต่อปี 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีมากกว่า 30 แบรนด์ ที่สร้างยอดขายปลีกต่อปีอยู่ระหว่าง 250 – 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อีกทั้งยังมีบริษัทในเครือทั่วโลก 200 ประเทศ กับพนักงานในเครือทั้งหมด 260,000 คน
ในเมืองไทย “เป๊ปซี่” ได้เข้ามาทำธุรกิจ 65 ปีแล้ว ช่วงแรกได้ให้บริษัทเสริมสุขเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย จากนั้นในปี 2555 ได้ปรับกลยุทธ์ หันมาผลิตและทำตลาดเอง โดยช่วง 6 ปีมานี้ได้ลงทุน 775 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับสร้างโรงงาน 2 แห่ง 12 ไลน์ผลิตที่ระยองและสระบุรี
ปัจจุบันมีพันธมิตรในการกระจายสินค้า 25 ราย, จุดส่งสินค้า (Drop Point) 68 จุด, เป็นพันธมิตรกับ DHL ในด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้า ซึ่งมีรถส่งสินค้ากว่า 200 คัน ครอบคลุมร้านค้าปลีกกว่า 470,000 แห่งทั่วประเทศ
ในภาพรวมตลาดน้ำอัดลม 54,900 ล้านบาท “เป๊ปซี่” มีส่วนแบ่ง 34% ในบรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวด (ทั้งขวดพีอีทีและกระป๋อง) เฉพาะน้ำดำมีแบ่งการตลาด 45% ในบรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวด.