นับจากการเปิดตัวรุ่นฉลอง 10 ปีไอโฟน อย่าง iPhone X วันนี้ Apple จัดภาคต่อด้วยการเปิดตัว iPhone XR, XS และ XS Max การขยายกลุ่มสินค้า high-end product line ครั้งนี้มีประเด็นสำคัญที่นักการตลาดยุคดิจิทัลต้องติดตาม ซึ่งรวมถึงสินค้ากลุ่มนาฬิกา Watch รุ่น Series 4 ที่มีคุณสมบัติใหม่ด้านสุขภาพ พร้อมกับระบบติดตามเดิมที่พัฒนาให้ดีขึ้น
1. iPhone ใหม่ : iPhone XS (อ่านว่า เท็น เอส) และ XS Max (เท็น เอส แม็กซ์)
Apple จัด iPhone เวอร์ชันใหม่ 2 รุ่นในปีนี้ คือ iPhone XS และ XS Max ต่างจากในอดีตที่ Apple มักเปิดตัว iPhone ใหม่ควบคู่ไปกับรุ่น “Plus” แต่เนื่องจาก Apple ต้องการแสดงจุดยืนว่า Max มีขนาดใหญ่กว่า “Plus size” จึงตั้งชื่อเรียกให้แตกต่างกัน
ด้วยหน้าจอ OLED ขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว ทำให้ iPhone XS Max มีราคาใหญ่ตามไปด้วย ราคาในสหรัฐฯ iPhone XS Max เริ่มต้นที่ 1,099 เหรียญโดยมีพื้นที่เก็บข้อมูล 64 GB รุ่นที่เก็บข้อมูลได้สูงสุดคือ 512 GB ราคาพุ่งทะยานไป 1,499 เหรียญ
iPhone XS จะถูกทำตลาดแทนที่ iPhone X รุ่นปีที่แล้วบนราคามาตรฐาน iPhone เริ่มต้นที่ 999 เหรียญ ขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.8 นิ้ว ลักษณะทั่วไปมีลักษณะคล้ายกับรุ่นปีที่แล้ว การสั่งซื้อล่วงหน้าทั้ง iPhone XS และ XS Max คือวันศุกร์ที่ 14 กันยายน กำหนดการวางจำหน่ายในร้านคือศุกร์ที่ 21 กันยายนเป็นต้นไป
2. iPhone รุ่นเล็ก : iPhone XR
ใครที่จำ iPhone 5C สีรุ้งได้ อาจจะคุ้นเคยกับ iPhone XR การใช้วัสดุที่มีราคาไม่แพง แต่เน้นผลิตบนรูปร่างเดียวกันกับรุ่นท็อป ถือเป็นอีกกลยุทธ์ที่ทำให้ iPhone XR น่าจับตา
ราคาเริ่มต้น 749 ดอลลาร์ของ iPhone XR ถือว่าไม่สูงนัก จุดเปลี่ยนคือการใช้หน้าจอ LCD ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้ XR มีราคาต่ำกว่า XS ถึง 250 เหรียญ โดยเหตุที่ทำให้ iPhone X ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้วราคาแพงก็คือหน้าจอ OLED และเป็นเหตุผลเดียวกันกับ iPhone XS และ XS Max ในปีนี้ซึ่งยังใช้หน้าจอ OLED
จุดขายของ iPhone XR คือชิปภายในที่มีความใกล้เคียงกับรุ่นแพงอย่าง XS และ XS Max นั่นคือชิป A12 Bionic ขณะเดียวกันก็มีแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันคือเกิน 1 วัน
สิ่งที่ไม่มีคือฟีเจอร์ 3D Touch และการใช้กล้อง 12 ล้านพิกเซลตัวเดียว ซึ่งต่างจากกล้องคู่ที่มีในด้านหลังของ iPhone XS และ XS Max เท่านั้น
iPhone XR พร้อมจำหน่ายเร็วกว่า XS และ XS Max กำหนดการทำตลาดคือ 26 ตุลาคมนี้ โดยจะเปิดสั่งจองล่วงหน้าตั้งแต่วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคมเป็นต้นไป
3. Apple Watch Series 4 เจเนอเรชันใหม่
Apple Watch ใหม่มีให้เลือก 2 รุ่นใหญ่กว่าเดิมคือ 40 และ 44 มม. ขนาดที่ใหญ่ขึ้นถือเป็นการอัปเดทย่อย ไม่ใช่การอัปเดทครั้งหลัก
จุดเด่นของการอัปเดทครั้งนี้คือชิปตัวใหม่ที่มีพลังมากขึ้น (“S4”) ซึ่งถูกการนัตีว่าจะให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นถึง 2 เท่า ภายในมีเซ็นเซอร์ตรวจจับความเร่งทำให้วิเคราะห์การตกและสามารถโทรฉุกเฉินได้โดยอัตโนมัติเมื่อจำเป็น
อีกจุดคือไมโครโฟนใน Apple Watch Series 4 ถูกย้ายตำแหน่งจัดวางเพื่อให้เสียงมีความชัดเจนมากขึ้น ผลคือลำโพงของ Series 4 ให้ความดังกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 50% นอกจากนี้ Apple Watch Series 4 ยังเป็นเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจระยะไกลได้ โดยวัดค่าการบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram : ECG) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯแล้ว
นาฬิกา Apple Watch ใหม่เริ่มต้นที่ 399 เหรียญ มีสีเงิน ดำ และทอง การสั่งจองล่วงหน้าจะเริ่มในวันศุกร์ ก่อนจะวางขาย 21 กันยายน
4. Apple Watch Series 3 ลดราคาเหลือ 279 เหรียญ
การลดราคานี้ทำให้ Apple Watch รุ่นปัจจุบันราคาต่ำกว่ารุ่นใหม่ราว 120 เหรียญ ซึ่ง Apple พยายามชี้ว่าผู้ใช้ Series 3 จะได้รับการอัปเดตเป็น Watch OS 5 ในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ Series 4 จะเปิดตลาด
5. iOS 12 กำลังจะมา
ไม่ใช่ว่าเปิดรุ่นใหม่แล้วทิ้งรุ่นเก่า Apple พยายามชูว่า iOS 12 ที่กำลังจะจุดพลุในวันจันทร์ที่ 17 กันยายนนี้ คือการอัปเกรดที่สำคัญซึ่งจะทำให้ iPhone รุ่นเก่าสามารถทำงานได้ดีขึ้นอีก
กลยุทธ์นี้ถูกวางจุดขายว่า iOS 12 จะช่วยเพิ่มความเร็วให้ผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าสามารถเปิดแอปพลิเคชันได้เร็วขึ้น 40% ขณะที่แป้นพิมพ์ก็จะทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น 50% การเปิดกล้องจะทำได้ทันใจยิ่งขึ้นอีก 70% สรุปคือ iOS 12 จะทำให้ iPhones รุ่นเก่ามีความใหม่ขึ้นอีกครั้ง
ทั้งหมดนี้ถือเป็นแง่มุมการตลาดที่ไม่ธรรมดา ผลตอบรับจากลูกค้าจะเป็นอย่างไรต้องรอดู.