แม้สินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กสีสดใสจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ Avita มองเห็นโอกาสงามในตลาดโดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลไทย แบรนด์ดาวรุ่งสัญชาติอเมริกันนี้เพิ่งเริ่มเปิดตลาดในฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว แต่สามารถทำรายได้เป็นเลข 8 หลัก บนฐานลูกค้าหลักคือกลุ่มผู้หญิงวัยรุ่น ซึ่งเหมาหมดทั้งกลุ่มวัยรุ่นที่วัย และวัยรุ่นที่ใจ มั่นใจโกยส่วนแบ่งตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไทยได้ 1-2% ใน 3 ปี
สิ่งที่ Avita มองเห็นในตลาดไทยคือจำนวนและพฤติกรรมของมิลเลนเนียลแดนสยาม จุดนี้แม้จะไม่มีข้อมูลจำนวนมิลเลนเนียลเมืองไทยที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าจะเป็นไปทางเดียวกับการสำรวจที่พบว่ากลุ่มคนมิลเลนเนียลมีจำนวนมากกว่า 45% ของประชากรทั้งหมดในเอเชียแปซิฟิก และกำลังเพิ่มเป็น 60% ภายใน 2 ปีข้างหน้า
สำหรับประเด็นพฤติกรรม ผู้บริหาร Avita ชี้ว่ามิลเลนเนียลวันนี้ต้องการอุปกรณ์ที่บอกตัวตนได้ จุดยืนของ Avita จึงอยู่ที่การเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ ที่เน้นมอบอิสระให้ลูกค้าเลือกได้ ขณะเดียวกันก็บอกตัวตนได้ชัด ทั้งหมดนี้ Avita เคลมว่าเป็นแบรนด์คอมพิวเตอร์พกพาที่มีสีมากที่สุด เข้ากับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ชาวไทยที่เปิดรับสีสัน และชอบแสดงความเป็นตัวเองให้โลกเห็น
สีบอกตัวตนได้
หากยังจำกันได้ แบรนด์ใหญ่อย่าง HP หรือ Lenovo รวมถึงอีกหลายค่ายเคยพยายามเจาะกลุ่มวัยรุ่น เปิดตัวคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กสีสันสดใสมาก่อนหน้านี้ แต่แล้วทุกแบรนด์ก็กลับมาจำหน่ายคอมพิวเตอร์สีดำ ขาว เทา เงิน และทองเท่านั้น ปล่อยให้โอกาสตกเป็นของตลาดอุปกรณ์เสริมอย่างสติกเกอร์สี หรือฟิล์มสีกันรอยขีดข่วนสำหรับติดบนคอมพิวเตอร์ไป
แต่ Avita เห็นลู่ทาง จึงเริ่มต้นต่อตั้งแบรนด์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กสีสดในปี 2016 ก่อนจะเปิดตลาดจริงจังในปี 2017 สำนักงานใหญ่ของต้นสังกัด Avita คือบริษัท Nexstgo นั้นอยู่ที่ฮ่องกง ปักธงจำหน่ายที่ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ และสหรัฐฯ ล่าสุดคือประเทศไทย ซึ่งจะเป็นประตูสู่ตลาดอาเซียนในอนาคต
อเล็กซ์ ซุง (Alex Chung) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เน็กซ์โก้ จำกัด (Nexstgo) ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่สามารถให้ความเห็นแทนแบรนด์ดังที่ล้มเลิกการจำหน่ายโน้ตบุ๊กสีสดไป แต่ส่วนตัวมั่นใจกับเดิมพันครั้งนี้สูงมาก
“ไม่ว่าอย่างไร สีก็สามารถดึงดูดความสนใจได้ มันเป็นสารที่ชัดเจน ผมคาดหวังกับตลาดไทยสูงมากเพราะประเทศไทยมีวัยรุ่นเป็นคนกลุ่มใหญ่ในประเทศ มากกว่า มาเลเซียหรือสิงคโปร์” อเล็กซ์ ซุง กล่าว “ส่วนตัว ผมชอบเมืองไทยมาก เพราะเมืองไทยมีสีสัน”
ภาพหลักของ Avita ถูกวางให้เป็นแบรนด์ที่เน้นความสนุก การเป็นสินค้าสำหรับวัยรุ่นทำให้ผู้บริหาร Avita มองว่าไทยเป็นตลาดที่มีโอกาสโตสูง เพราะมีสัดส่วนวัยรุ่นจำนวนมากเมื่อเทียบกับประชากร หลักการของแบรนด์คือการเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และอนาคตจะมีสินค้าอื่นออกมาจำหน่ายนอกจากคอมพิวเตอร์พกพาแน่นอน
ประเด็นนี้ Avita ย้ำชัดว่าไม่สนใจตลาดสมาร์ทโฟน แต่จะเน้นสินค้า IoT ที่ช่วยให้ลูกค้าใช้ชีวิตสบายขึ้น เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันที่ดีกว่า ตัวอย่างเช่นสินค้ากลุ่มกระจกเงาอัจฉริยะ Imago Smart Mirror ที่สามารถประมวลผลข้อมูลน้ำหนัก สภาพผิว คุณภาพการนอนหลับ และข้อมูลอื่นให้ผู้ส่องกระจกได้ทราบทุกวัน คาดว่าอุปกรณ์ IoT เหล่านี้จะเริ่มวางจำหน่ายในไทยได้ช่วงกลางปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ Avita จะเริ่มขยายฐานออกนอกกรุงเทพฯ สู่หัวเมืองใหญ่ต่อไป
สำหรับก้าวแรกในไทย Avita จะเป็นแบรนด์สินค้าไอทีที่เป็นแบรนด์แฟชั่น เน้นเทรนด์ และวัยรุ่น ซึ่งไม่ใช่แค่วัยรุ่นที่อายุน้อย แต่ Avita ประกาศว่าต้องการเข้าถึงทุกคนที่เน้นความสนุกมีสีสัน ซึ่งคอมพิวเตอร์พกพาแบรนด์ Avita จะมีสีสันทั้งด้านในและนอกเครื่อง ทั้งหมด 14 เฉดสี ซึ่งบางรุ่นเป็นสีตามซีซั่น เช่น สีซากุระ ในอนาคตจะพัฒนาให้เป็นคอนเซ็ปต์เพื่อการซื้อแลปท็อปแบบใหม่ ที่ลูกค้าสามารถเลือกผสมสีได้เอง
ชูฟีเจอร์สำคัญกว่าสี
พันธมิตรเพื่อจำหน่าย Avita ในไทยช่วงเปิดตลาดคือเอสไอเอสและคอมพ์เซเว่น ช่องทางจำหน่ายคือ 12 สาขาร้านบานาน่าไอที ผ่านศูนย์บริการ 10 แห่งในกรุงเทพฯ เบื้องต้นผู้บริหารยอมรับว่าการบ้านหลักนับจากนี้คือการสร้างแบรนด์ บนจุดเด่นเรื่องการนำไลฟ์สไตล์มารวมในแบรนด์ โดยที่ไม่ทิ้งฟีเจอร์ เพราะเป็นอีกเรื่องที่สำคัญกว่าสีสัน
Avita การันตีว่าตัวเองจะไม่เน้นแค่สี แต่ยังมีจุดแข็งที่ความบาง 5 มม. แบตเตอรี่ทนทาน 10 ชม รวมถึงซีพียูอินเทล 3.6 GHz ขึ้นไป ทั้งหมดย้ำว่า Avita วางภาพสินค้าที่เน้นฟีเจอร์การใช้งานด้วย ทั้งหมดนี้ทำคู่ไปกับการวางขายแอสเซสเซอรี่ซึ่งเน้นดีไซน์แปลกใหม่เข้ากัน คาดว่าจะขยายตลาดไปสู่กลุ่มสินค้าเน้นความทนทาน กันน้ำกันกระแทกทนอากาศร้อนและหนาวจัดได้ในปีหน้าด้วย
ดึง แพง–ขวัญข้าว ร่วมงานเปิดตัว
สิ่งที่ Avita ทำคือการดึงไซเนอร์คนเก่ง “แพง–ขวัญข้าว เศวตวิมล” เจ้าของแบรนด์แฟชั่นเก๋ Kwankao มาร่วมงานเปิดตัวแบรนด์ ซึ่งในงาน ขวัญข้าวระบุว่าเลือกใช้สีสดในคอลเลกชันเสื้อผ้าปลายปีที่กำลังจะออกโชว์ในปลายปีนี้ ทำให้การเปิดตัวโน้ตบุ๊กสีสันเป็นสิ่งที่เข้ากันพอดีกับเทรนด์สีสดที่กำลังมาแรง
“เราวางกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มดีไซเนอร์ กลุ่มนักเรียน และคนเริ่มทำงานซึ่งอายุยังน้อย แผนการตลาดของเราคือต้องทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก ซึ่งเราจะร่วมมือกับพันธมิตรและช่องทางดิจิทัลอย่างเต็มที่”
แผนทำตลาดของ Avita จึงแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ การทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง การโรดโชว์ และเปิดบูธในช็อปให้ลูกค้าได้ลองสัมผัสเครื่อง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนความพยายามของ Avita เรื่องการเน้นทั้งฟังก์ชัน ความบางเบา และพกพาสบาย ส่งให้ Avita และ Nexstgo ทำยอดขายเป็นเลข 8 หลัก (หลัก 10 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในปีที่ผ่านมา เป้าหมายที่วางไว้คือการเพิ่มรายได้เป็นเลข 9 หลักในปีหน้า (หลัก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ)
หากมองในมุมมาร์เก็ตแชร์ Avita และ Nexstgo สามารถครองตลาด 2-3% ในฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดย 80% ของลูกค้าที่ซื้อ Avita ล้วนมีอายุต่ำกว่า 25 ปี และ 60% ในกลุ่มนี้เป็นผู้หญิง ตรงนี้อธิบายได้ดีที่แบรนด์ Avita เลือกแพง–ขวัญข้าวมาเป็นแขกรับเชิญในงานคู่กับพิธีกรสาว ไดอาน่า จงจินตนาการ
“ความท้าทายของ Avita คือการทำให้คนเห็นและซื้อสินค้า ผมยอมรับว่าตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไทยวันนี้มีคู่แข่งมาก แต่ตลาดนิ่ง ยอดขายไม่เติบโตชัดเจนเพราะเป็นตลาดเครื่องทดแทน เราจึงพยายามดึงให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องเร็วขึ้น จากเดิมที่ต้องรอถึง 3-5 ปี”
แบรนด์ที่ Avita มองว่าเป็นคู่แข่งคือทุกแบรนด์พีซี โดยเฉพาะ Apple และ Microsoft ซึ่งเน้นภาพแบรนด์ไลฟ์สไตล์เช่นกัน แต่สิ่งที่ Avita จะพร้อมแข่งขันคือประเด็นความคุ้มค่า และการตอบโจทย์ตลาดด้วยจุดต่าง บนความมั่นใจว่าโน้ตบุ๊กเป็นสิ่งที่มิลเลนเนียลทุกคนจำเป็นต้องใช้งานอยู่แล้ว
สำหรับช่วงแรก แล็ปท็อป Avita วางหมากทำราคา 13,990-29,990 บาทซึ่งถือเป็นระดับกลางถึงเริ่มต้น ตามลำดับของโปรเซสเซอร์ตั้งแต่ Intel Celeron ถึง Core i7 รุ่นเล็กที่สุดมีหน้าจอขนาด 13.3 นิ้ว น้ำหนักเริ่มต้น 1.37 กิโลกรัม ทั้งหมดนี้ Avita จะสอบผ่านโดนใจตลาดหรือไม่ ยังต้องรอดูกันต่อไป.