อยากเรียกบะหมี่สำเร็จรูป เรียกไวไวก็ได้นะ งานนี้ต้องจัดเต็มทั้งมิวสิกมาร์เก็ตติ้ง-ออกสินค้าใหม่ถึงจะเอาอยู่

เรื่อง : Thanakit

ด้วยความที่ “ไวไว” เป็นเบอร์รองใน “ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ของเมืองไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาดราว 24% โดยมาจากแบรนด์ “ไวไว” ที่จับผู้บริโภคกลุ่มแมส 16% และซับแบรนด์ “ควิก” ที่จับกลุ่มวัยรุ่นถึงวัยทำงาน 8% ตามหลังเจ้าตลาด “ม่ามา” ที่กินรวบตลาดไปถึง 47-48%

ถึงจะบอกว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ภาพรวมของตลาดจะเติบโตเล็กน้อยประมาณ 2-3% โดยพี่ใหญ่ม่าม่าถูกเอฟเฟกต์จาก “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกาหลี” ที่ได้รับความนิยมจากกระแสออนไลน์และวัฒนธรรมเกาหลี ทำเอาเซ็กเมนต์นี้โตพรวดในระดับ 2 ดิจิช่วง 2 ปีนี้ เข้ามาแย่งส่วนแบ่งหายไปราว 1-2%

ส่วน ไวไว แม้จะสามารถรักษาส่วนแบ่งของตัวเอง เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มอบให้ผู้มีรายได้น้อยใช้จ่ายสำหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเดือนละ 200 – 300 บาท เข้ามาช่วยเหลือก็ตาม

แต่อย่างไรเสีย การเป็น “มวยรอง” ได้สร้างการบ้านข้อใหญ่ให้กับไวไวเนื่องจาก “เจนเนอริกเนม” ที่ผู้บริโภคทั่วไปเรียกขานตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คือคำพูดที่เอ่ยว่า “มาม่า” ทำให้ช่วงปลายปีนี้ ไวไวตัดสินใจทุ่มงบการตลาดกว่า 50 ล้านบาท หวังให้ผู้บริโภคเรียกขานเจนเนอริกเนมว่า ไวไว บ้าง

โดยออกแคมเปญ “ทำวันนี้ ทำไวไว” ด้วยการนำ “มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง” เข้ามาช่วยให้แคมเปญนี้เข้าถึงคนไทยได้ง่ายขึ้น โดยดึง บอย โกสิยพงษ์ ให้มาแต่งเพลง ได้ 2 ศิลปิน 2 สไตล์ คือ “ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์” หนึ่งในศิลปินระดับตำนาน และ วง ROOM39 กลุ่มศิลปินตัวแทนคนรุ่นใหม่

เพื่อสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเจนซีและเจนวายโดยเฉพาะ เนื่องจากกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่ทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด


ยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไวไวและควิก กล่าวว่า “ปรกติแล้วคำว่า ไวไว เป็นคำที่ติดปากของคนไทยอยู่แล้ว แต่โดยความหมายไม่ได้หมายถึงตัวไวไว จึงเป็นเหตุผลหลักที่ตัดสินใจทำแคญเปญนี้ เหตุที่ต้องเริ่มต้นด้วยเพลง เนื่องจากเพลงสาสามารถเข้าถึงและทำให้ผู้บริโภคจดจำคำได้มากกว่าสื่ออื่นๆ ซึ่งหลังจากนี้หากเพลงเป็นกระแสแล้ว ก็จะโปรโมตต่อในทุกสื่อ โดยวางแผนทำต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปี เพื่อให้ติดหูผู้บริโภค”

ในขณะเดียวกัน นับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา อัตราเติบโต “ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ลดลงอย่างน่าใจหาย คิดเป็นตัวเลขเติบโตราว 2-3% เท่านั้น เป็นเพราะตลาดอิ่มตัวเนื่องจากคนไทยมีอัตราการทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากเป็นลำดับต้นๆ ของโลกแล้ว นั้นคือประมาณ 40 ซอง/คน/ต่อปี

อีกทั้งยังโดนอาหาร Ready to Eat หรืออาหารพร้อมทานที่วางขายในร้านสะดวกซื้อ ที่นับวันกลุ่มนี้ยิ่งรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาแย่งตลาดไปอีก

ทางออกสำหรับปัญหานี้จึงต้องออกสินค้าใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขายเติบโตไม่น้อยกว่า 10% โดยครั้งนี้ไวไวตัดสินใจออกสินค้าพร้อมกัน 3 รสชาติได้แก่ ไวไว รสต้มยำกุ้งน้ำข้น สูตรพริกเผาชนิดชาม ที่ออกมาเพื่อต่อกรกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกาหลีโดยเฉพาะ

ด้วยตัวเส้นมีลักษณะแบน วางขายที่ราคา 25 บาท ซึ่งถูกกว่าของเกาหลีที่ขาย 45 บาท โดยความตั้งใจของไวไว ต้องการนำรสชาตินี้ออกไปวางขายในช่องทางแมส หรือร้านทั่วไป เนื่องจากก่อนหน้านี้ประมาณ 2 ปี ได้ออกแบบชาม 2 รสชาติ ได้แก่ หมูย่างเกาหลี และกระดูกหมูต้มยำ วางขายในช่องทางเซเว่นเท่านั้น

รสชาติที่ 2 คือ ไวไว รสหมูสับ (โฉมใหม่) รสชาตินี้ถือเป็นการปรับโฉมใหม่ รสชาติท้ายสุด คือ ไวไว รสต้มยำ (สูตรดั้งเดิม) ที่เดิมทำมา 20 ปีแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะส่งออกและวางขายบริเวณชายแดน แต่จากกระแสในโลก Social ที่เรียกร้องกันมาก ทำให้ไวไวตัดสินใจทำออกวางขาย

นอกจากนี้ไวไวยังวางแผนออกสินค้าใหม่ในปี 2019 อีก 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.ควิกซองแบบพรีเมียม ที่คาดว่าจะวางขายประมาณไตรมาส 3 โดยจะเป็นเส้นแบบใหม่และรสชาติแบบฟิวช้่น คาดมีราคาประมาณ 30 บาท และผงปรุงรส ที่ไวไวมีประสบการณ์อยู่แล้ว ที่สำคัญสินค้าชนิดนี้ให้กำไรที่สูงกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเสียอีก

ทั้งนี้ ปี 2018 ไวไวตั้งเป้าเติบโต 5% พร้อมกับวางเป้าหมายต้องการเพิ่มส่วนแบ่งรายได้จากแบบชาม จาก 2% เป็น 10% ให้ได้