ต้องนับเป็นช่วงท้าทายของช่อง 7 แชมป์เบอร์ 1 ครองเรตติ้งสูงสุด ต้องมาจอกับเรตติ้งละครช่วงเวลาไพรม์ไทม์ลดลงอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในระดับ 3-4 จากชุดละครที่ออกอากาศในเดือนตุลาคมนี้ ถึง 2 เรื่องคือ “นางทิพย์” และ “พ่อมดเจ้าเสน่ห์”
ทั้ง “นางทิพย์” และ “พ่อมดเจ้าเสน่ห์” ต่างเป็นละครที่ช่อง 7 ตั้งความหวังไว้สูง โดยที่ “นางทิพย์” นั้น นำนางเอกของช่องถึง 3 คน ตั้งแต่ ฝนทิพย์-ปุ๊กลุ๊ก, มีน พีชญา และ มุก มุกดา ลงเล่นในเรื่องเดียวกันเป็นครั้งแรก ในขณะที่ “พ่อมดเจ้าเสน่ห์” คือละครแนวแฟนตาซี ภาคต่อ ภาคที่ 4 ของ ละครดัง “สาวน้อยในตะเกียงแก้ว” ที่ช่อง 7 เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต
เรตติ้งละครทั้ง 2 เรื่อง นางทิพย์ และ พ่อมดเจ้าเสน่ห์ เปิดตัวตอนแรกได้ดีอยู่ที่ 4.914 และ 4.902 และเป็นเรตติ้งตอนที่ดีที่สุดของเรื่อง เพราะหลังจากนั้น ยิ่งออกอากาศเรตติ้งก็ยิ่งลดลงต่อเนื่อง จนตอนล่าสุดวันที่ 23 ตุลาคม นางทิพย์ มีเรตติ้งอยู่ที่ 3.507 ส่วน พ่อมดเจ้าเสน่ห์ มีเรตติ้งวันที่ 24 ตุลาคมอยู่ที่ 3.390 เท่านั้น
เมื่อเทียบกับเรตติ้งของรายการช่องอื่นๆ ที่ออกอากาศในช่วงเดียวกัน แม้ว่าละครทั้ง 2 เรื่องของช่อง 7 ยังคงเป็นแชมป์เรตติ้งในช่วงเวลาหลัง 2 ทุ่มเหมือนเดิมก็ตาม แต่ตัวเลข “ความห่าง” กันนั้นย่นระยะเข้ามาใกล้กันมากขึ้น โดยวันที่ 23 ตุลาคม ละคร “เนตรนาคิน” ช่องวัน ตอนจบ มีเรตติ้งอยู่ที่ 3.410 จี้ติดแบบหายใจรดต้นคอละคร “นางทิพย์” ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตัวเลขเรตติ้งของละครช่อง 7 จะทิ้งห่างคู่แข่งในระดับเท่าตัวมาโดยตลอด
เมื่อดูตัวเลขแบบแยกพื้นที่ จะเห็นว่าเรตติ้งในพื้นที่ต่างจังหวัดที่เป็นฐานผู้ชมหลักของช่อง 7 ลดลงไปมาก โดยมีช่องอื่นๆ เข้ามาแย่งส่วนแบ่งในพื้นที่นี้ ทั้งละครคู่แข่งช่อง 3, ช่องวัน, หนังต่างประเทศช่องโมโน และรายการวาไรตี้ช่องเวิร์คพอยท์ เป็นผลจากการแข่งขันนำเสนอคอนเทนต์เรียกผู้ชมกันอย่างเต็มที่ของแต่ละช่อง ทำให้สามารถผู้ชมมีทางเลือกมากขึ้น จนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากการเปิดทีวีแช่อยู่ที่ช่องใหญ่ๆ ตลอดวัน มาแสวงหาทางเลือกจากช่องใหม่ๆ มากขึ้น ฐานผู้ชมช่องใหญ่ที่เคยแข็งแกร่ง ก็ค่อยๆ สลายลงมากระจายอยู่ตามช่องใหม่ๆ
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับช่อง 3 ด้วยเช่นกัน เห็นได้จากตัวเลขเรตติ้งของละครช่อง 3 ก็ปรับลดลงมาด้วยเช่นกัน เพียงแต่ไม่ลดลงอย่างฮวบฮาบเหมือนช่อง 7
ส่วนละครช่วงปลายสัปดาห์ ที่เป็นละครพีเรียดฟอร์มยักษ์ของช่อง “สายโลหิต” ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เรตติ้งสวิงขึ้นลง มีสูงสุดอยู่ที่ 5.415 และต่ำสุดอยู่ที่ 4.072 โดยที่ “สายโลหิต” กำลังจะจบลงในวันที่ 27 ตุลาคมนี้
หากดูจากสถิติเรตติ้งละครช่วงหลัง 2 ทุ่มของช่อง 7 ทั้งปีของปีนี้จะพบว่า ในปีนี้ยังไม่มีละครเรื่องใดของช่อง 7 มีเรตติ้ง 2 หลัก หรือเกิน 10 เลย โดยเรื่องที่มีเรตติ้งสูงสุดของปีนี้คือ “สัมปทานหัวใจ” ที่มี “เวียร์ ศุกลวัฒน์” แสดงนำ มีเรตติ้งตอนจบอยู่ที่ 9.480 และเรตติ้งเฉลี่ยทั้งเรื่องอยู่ที่ 7.627 ส่วนละครที่มีเรตติ้งสูงสุดของช่องในแต่ละสัปดาห์กลายเป็นละครเช้าวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ “สังข์ทอง” ทีมีเรตติ้งอยู่ในระดับ 7-8
การที่เรตติ้งลดลง นอกจากสาเหตุการแข่งขันแล้ว ส่วนใหญ่เป็นเพราะยอดคนดูออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งขายลิขสิทธิ์ละครไปลงช่องทาง LINE TV แต่ช่อง 7 ไม่ได้ขายสิทธิ์ให้ LINE TV เพราะฐานผู้ชมของช่อง 7 เป็นกลุ่มคนในต่างจังหวัด อีกทั้งช่อง 7 เน้นโปรโมตคนดูทางช่องทางออนไลน์ของตัวเองที่ Bagaboo TV เป็นหลัก เช่น การถ่ายทอดสดฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี เพื่อคัดเลือกทีมจากเอเชียไปแข่งขันชิงแชมป์โลก และช่อง 7 จัดลงช่องทางออนไลน์เท่านั้น
ทั้งนี้ตัวเลขคนดูช่องทางออนไลน์ของช่อง 7 สำหรับละคร เริ่มมีสูงมากขึ้นในล็อตละครชุดปัจจุบัน บางตอนมีตัวเลขคนดูในหลักหลายแสนคนแล้ว จาการทุ่มโปรโมตรายการที่ลงช่องทางออนไลน์อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเรตติ้งจากช่องทางทีวี ยังเป็นส่วนที่มีความสำคัญที่สุด ดึงดูดโฆษณามาลง สร้างรายได้ให้กับช่องมากกว่า ช่องทางออนไลน์นั้นยังมีรายได้น้อยมาก
นอกจากนี้ ละครช่อง 7 โดนวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ เรื่องคุณภาพงานถ่ายทำ โปรดักชั่น ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นมากขึ้น การอนุมัติละครมีความยากขึ้น จนมีกระแสข่าวว่า “กฤตย์ รัตนรักษ์” ผู้บริหารสูงสุดของช่อง 7 ต้องลงมาสั่งการงานอนุมัติละครเองผ่านตัวแทน
นับว่าเป็นสถานการณ์ที่พิสูจน์ผีมือช่องพี่ใหญ่ ผู้คร่ำหวอดในวงการทีวีไทยมาอย่างยาวนาน ว่าจะปรับตัวรับการแข่งขันที่มาเร็วเกินคาดได้อย่างไร