เรื่อง : Thanatkit
3 เดือนสุดท้ายของปี 2018 กำลังจะเป็นช่วงเวลา “สงคราม” ที่ 3 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ของโลก ส่งสมาร์ทโฟนระดับ “เรือธง” ราคามากกว่า 20,000 บาท เข้ามาแย่งชิงยอดขายกันอุตลุด
ไล่มาตั้งแต่ซัมซุงที่เข็น “กาแล็กซี่ โน้ต 9” ออกมาก่อนใครเพื่อนเมื่อเดือนสิงหาคม ตามด้วยแอปเปิลที่ส่ง “XR, XS และ XS Max” เข้ามาติดๆ ในเดือนกันยายน และรายล่าสุดหัวเว่ยที่ส่งประกวดถึง 3 รุ่นด้วยกัน “Mate 20, Mate 20 X และ Mate 20 Pro” ที่เปิดตัวสู่สายตาชาวโลกอย่างเป็นทางการ เมื่อต้นเดือนตุลาคมนี้เอง
หัวเว่ยเคลมว่า Mate 20 Series ไม่ได้เป็นรุ่น “Minor Change” ที่ปรับนิดๆ หน่อยๆ แต่เป็นรุ่น “All New” ที่ยกเครื่องใหม่หมดจด อาทิ Kirin 980 ชิปเซ็ต AI แบบคู่ครั้งแรกของโลก หรือจะเป็น Wireless Reverse Charging ระบบชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่นแบบไร้สาย รวมไปถึงกล้อง 3 กล้อง Leica Triple Camera เป็นต้น
โฉมใหม่นี้มาพร้อมกันถึง 3 รุ่น ที่แตกต่างทั้งขนาดจอและราคา ได้แก่
1.HUAWEI Mate 20 จอ 6.53 นิ้ว ราคา 24,990 บาท มี 2 สีได้แก่ Twilight และ Midnight Blue
2.HUAWEI Mate 20 X จอ 7.2 นิ้ว ราคา 28,990 บาท มี 2 สี ได้แก่ Phantom Silver และ Midnight Blue
3.HUAWEI Mate 20 Pro จอ 6.39 นิ้ว ราคา 31,990 บาท มี 2 สี ได้แก่ Emerald Green และ Black
ทศพร นิษฐานนท์ รองผู้อำนวยการ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย บอกว่า การออกมาพร้อมกันถึง 3 รุ่นจะไม่กินกันเอง เพราะระดับราคาที่ค่อนข้างห่างกันเยอะ จะเป็นตัวแบ่งเซ็กเมนต์ของฐานลูกค้าเอง
“การแข่งขันในช่วงนี้ถือว่ามีสีสันมาก เพราะแข่งขันกันของแบรนด์หลักในตลาดถึง 3 ราย ต้องวัดกันว่า นวัตกรรมของค่ายไหนจะจูงใจให้ผู้บริโภคยอมเสียเงินมากที่สุด หัวเว่ยเองก็มั่นใน Mate 20 Series อยู่มาก ซึ่งเชื่อว่าจะกระตุ้นให้ทั้งลูกค้าเก่าเปลี่ยนเครื่องใหม่ และดึงลูกค้าจากแบรนด์อื่นเข้ามา”
อัดงบการตลาด 4 เท่า หวังยอดขาย 3 เท่า
แนวโน้มรุ่นที่จะได้รับความนิยมสูงสุดคือ Mate 20 X ที่นอกจากมีขนาดจอใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นเทรนด์ที่คนไทยกำลังชื่นชอบแล้ว นอกเหนือจากแท็บเล็ต M5 Pro ที่สามารถใช้ปากกา M-Pen ซึ่งเมืองไทยจะแถมมาในกล่อง แต่บางประเทศต้องซื้อเอง
ปากกา M-Pen จะไม่สามารถเก็บในตัวเครื่องได้ ซึ่งจุดนี้หัวเว่ยบอกว่า เป็นทั้งข้อดีข้อเสีย โดยข้อดีคือ สามารถทำขนาดเท่าปากกา ซึ่งลบจุดอ่อนจากแบรนด์อื่นที่บางและหักง่าย แต่ก็ยังมีข้อเสียที่ต้องพกไปด้วย และอาจทำหายที่ต้องซื้อใหม่ราคา 1,090 บาท
สงครามครั้งนี้ หัวเว่ยจัดเต็มอัดงบการตลาดเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า จาก HUAWEI Mate 10 Series ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยคาดหวังว่าจะสามารถดันยอดขายมากกว่า 3 เท่า จาก Mate Series ก่อนหน้า พร้อมกับขยับขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ในเซ็กเมนต์พรีเมียมราคา 15,000 บาทขึ้นไป ภายในสิ้นปีนี้
“การลงทุ่มลงทุนในสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของหัวเว่ย ไม่ได้หวังเพียงยอดขายเท่านั้น แต่นี่ยังเป็นหนึ่งในตัวช่วยสร้าง Brand Image ในสายตาของผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลไปถึงสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ด้วย”
จริงๆ แล้ว หัวเว่ยมีสมาร์ทโฟนระดับเรือธงถึง 2 รุ่นด้วยกัน โดยมีความแตกต่างอยู่ที่ “Mate Series” เน้นเข้าหานักธุรกิจที่เป็นคนนุ่นใหม่ คาแร็กเตอร์การทำตลาดอยู่ในลุคนิ่ง เข้มขรึม ส่วน “P Series” จะเน้นเรื่องไลฟ์สไตล์ เจาะเรื่องการถ่ายภาพ ครีเอทีฟ ดีไซน์ ลุคการทำตลาดจึงจะหวือหวา ฉูดฉาดกว่า
ไม่เน้น “ถ่ายภาพ” อีกต่อไป
ที่น่าสนใจการทำตลาดรอบนี้ ผู้บริหารหัวเว่ย บอกอีกว่า ไม่ได้ชูฟีเจอร์เรื่อง “ถ่ายภาพ” อีกต่อไป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หัวเหว่ยชูเรื่องกล้องมาตลอด ตั้งแต่การใช้เลนส์จาก “ไลก้า” ในการทำตลาดสมาร์ทโฟนรุ่นแรก “Mate 10 Series” สร้างความเชื่อมั่น และเจาะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งเวลานั้นยังไม่ค่อยคุ้นชินกับสมาร์ทโฟนราคาเกิน 20,000 บาทจากแบรนด์จีนมากนัก
สาเหตุเพราะหัวเหว่ยต้องการฉีกไปจากคู่แข่งที่ล้วนจัดเต็มเรื่องกล้องไม่แพ้กัน หัวเหว่ยจึงมุ่งไปทีตลาดเกม ที่กำลังเป็นที่สนใจของผู้บริโภคทั่วไปในขณะนี้ หากทำได้จะช่วยขยายฐานผู้บริโภคได้ และยังทำรายได้จากอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวกับเกมเพิ่มขึ้นด้วย
ภาพรวมของหัวเว่ยปี 2018 ต้องการยอดขายเติบโตถึง 50% โดยต้องการปรับสัดส่วนยอดขาย จากกลุ่มบนซึ่งมีรุ่น P และ Mate, กลุ่มกลาง รุ่น Nova และ ล่าง รุ่น Y 30 – 30 – 40 ให้เป็น 30 – 40 – 30 ตามลำดับให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ ก่อนที่จะเป็น 40 – 30 – 30 ให้ได้ภายในอนาคต
ส่วนแบ่งตลาดในเมืองไทย ตอนนี้ได้รั้งเบอร์ 2 อยู่ แต่ภายในปี 2020 หัวเว่ยต้องการขยับขึ้นมาเป็น “เบอร์ 1” ได้จงได้