ในที่สุด กลุ่มเซ็นทรัลก็สามารถขยายธุรกิจค้าปลีกไปยัง “สนามบิน” ได้เสียที เมื่อผู้บริหารเซ็นทรัล ยุวดี จิราธิวัฒน์ ประธาน บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด แจ้งว่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 จากการที่กลุ่มเซ็นทรัลได้ทราบผลการประมูลการบริหารพื้นที่ในอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ของสนามบินอู่ตะเภา พื้นที่ 2,000 ตารางเมตร จำนวนสัญญา 2 สัญญา คือ สัญญาโครงการร้านค้าปลอดอากร (Duty Free Shop) และสัญญาโครงการร้านค้าและบริการ (Retail and Services)
โดยผลอย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่า เซ็นทรัล ดีเอฟเอส คอนซอร์เตี้ยม (กิจการร่วมทำงานระหว่างบริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด และ ดีเอฟเอสเวนเจอร์ สิงคโปร์) เป็นผู้ได้รับเลือกสำหรับสัมปทานในส่วนของ โครงการร้านค้าและบริการ (Retail and Services) บนพื้นที่ประมาณ 1,400 ตารางเมตร
คณะกรรมการท่าอากาศยานอู่ตะเภากองทัพเรือ ได้เปิดการประมูลอย่างเป็นขั้นตอน โดยมี 3 หลักเกณฑ์ในการพิจารณา ได้แก่ ด้านคุณสมบัติ, ด้านเทคนิค และ ด้านผลประโยชน์ตอบแทน โดยพิจารณาเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่การให้คะแนนด้านคุณสมบัติและเทคนิคก่อน หากผู้ประมูลผ่านเกณฑ์คะแนนที่กำหนด ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 ในการเปิดซองผลประโยชน์ตอบแทน ผู้ชนะคือผู้ที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ภาครัฐสูงที่สุด
ตามสัญญา ผู้ชนะการประมูลสำหรับโครงการร้านค้าและบริการ (Retail and Services) จะเป็นผู้รับผิดชอบสร้าง Pick-Up Counter ด้วย ซึ่งทางคอนซอร์เตี้ยมยินดีช่วยออกแบบและก่อสร้างให้ได้มาตรฐาน โดยทาง กองทัพเรือจะรับผิดชอบบริหาร และให้ทุกบริษัทมีสิทธิ์ใช้อย่างเท่าเทียมกัน
กลุ่มเซ็นทรัล เชื่อมั่นว่า ในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งร่วมกับภาครัฐและเอกชนในการผลักดันและส่งเสริมพื้นที่สนามบินอู่ตะเภาในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาเป็นศูนย์กลางของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก พร้อมทั้งเป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์ และเป็นนิคมอุตสาหกรรมการบิน รวมถึงขยายและรองรับการเติบโตของการขนส่งทุกรูปแบบ
จะว่าไปแล้ว ค้าปลีกในสนามบิน ถือเป็นเป้าหมายของบรรดาเจ้าของศูนย์การค้าที่ต้องการไปเปิดสาขาเพราะผู้ใช้บริการล้วนแต่มีกำลังซื้อ
ก่อนหน้านี้ ในปี 2555 ค่ายเดอะมอลล์ ก็คว้าสัมปทานโครงการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทสินค้าและบริการ และประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) โดยบริษัท เดอะมอลล์ฯ เสนอผลตอบแทนเดือนละ 16.7 ล้านบาท หรือปีละประมาณ 200 ล้านบาท.