พีพีทีวี ยังคงจัดหนักจัดเต็ม ทุ่มสุดตัว หลังจากได้ “The Voice” มาจากช่อง 3 คราวนี้ถึงคิวช่อง 7 ดึงรายการดัง “กิ๊ก ดู๋ สงครามเพลงเงาเสียง” ออกจากอ้อมอกช่อง 7 ได้สำเร็จ ออนแอร์ต้นปี 2019
“กิ๊ก ดู๋ สงครามเพลงเงาเสียง” เป็นรายการที่ผลิตโดย บริษัท เจเอสแอล ออกอากาศอยู่คู่กับช่อง 7 มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2553
เริ่มต้นจากรายการเกมโชว์ ในชื่อ “กิ๊ก ดู๋” แล้วปรับมาเป็นรายการประกวดร้องเพลงในปี 2554 ที่ออกอากาศในช่วงวันอาทิตย์เวลาบ่ายสาม และขยับมาออกรายการในเวลาสี่ทุ่มครึ่งของวันอังคาร ตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน
นับเป็นรายการวาไรตี้หลักที่ทำเรตติ้งสูงสุดของช่อง 7 ในช่วงดึก อีกทั้งยังมีฐานผู้ชมแน่นหนามากจากทั่วประเทศ เรตติ้งรายการล่าสุด วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน อยู่ที่ 2.183
แข่งขันสูง ต้นทุนค่าเช่าเวลาแพง ผู้ผลิตต้องดิ้นหาช่องใหม่
แหล่งข่าววงการทีวี เปิดเผยว่า ขณะนี้หลายรายการที่อยู่ในช่องใหญ่ เริ่มประสบปัญหาเรื่องรายได้จากโฆษณาที่ลดลงอย่างมาก เพราะต้องเจอศึก 2 ทาง ทั้งช่องทีวีด้วยกัน และคู่แข่งทางช่องทางออนไลน์
นอกจากนี้ ช่อง 7 นั้นใช้วิธี “เช่าเวลา” แก่ผู้ผลิตมาตลอด ซึ่งแตกต่างจากช่องอื่นๆ อย่างช่อง 3 ที่มีทั้งไทม์แชร์ริ่ง เช่าเวลา และจ้างผลิต เนื่องจากช่อง 7 ครองแชมป์เรตติ้งสูงสุด หลายรายการจึงต้องการมาออกอากาศช่อง 7 ก็ต้องเช่าเวลา วิธีนี้ทำให้ช่อง 7 มีรายได้แน่นอน ส่วนผู้ผลิตจะไปหารายได้จากค่าโฆษณา
แต่สถานการณ์เปลี่ยนไป ผู้ผลิตเเริ่มมีปัญหาในการหารายได้ค่าโฆษณา จึงมองว่าราคาค่าเช่าสูง ทำให้หลายรายการไม่สามารถอยู่ได้ จึงเริ่มหาช่องใหม่ และพีพีทีวีก็เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ผลิตรายการ
พีพีทีวี ยึดโมเดล จ้างผลิต แบ่งรายได้ค่าโฆษณา
ข้อเสนอของพีพีทีวีที่ให้กับรายการ กิ๊ก ดู๋ จะเป็นรูปแบบคล้ายกับดีล The Voice Thailand คือ พีพีทีวีจ้างผลิตรายการ และแบ่งส่วนแบ่งรายได้จากค่าโฆษณาร่วมกันตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ ทำให้ผู้ผลิตรายการอยู่ได้ ไม่ต้องแบกค่าเช่าเวลา
พีพีทีวี เป็นทีวีดิจิทัลช่องเจ้าบุญทุ่มอย่างแท้จริง มีเศรษฐีระดับประเทศอย่าง “นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” แชมป์เศรษฐีหุ้นไทย 5 ปีติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 2556-2560 เป็นเจ้าของ ที่นอกเหนือจากพีพีทีวีแล้ว กลุ่มครอบครัวปราสาททองโอสถ ยังถือหุ้นใหญ่ในช่องวัน
หลังจากได้ “สุรินทร์ กฤติยาพงศ์พันธุ์” อดีตผู้บริหารช่อง 3 รับตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่พีพีทีวี ได้ประกาศปรับทิศทางช่อง จากช่องที่เด่นด้านกีฬาอย่างเดียว มาเป็น World Class TV โดยทุ่มทุนกว่าพันล้าน เน้นคอนเทนต์บันเทิง ซื้อลิขสิทธิ์หนังต่างประเทศ รายการสารคดี และอีกหลายลิขสิทธิ์รายการ พร้อมทุ่มทุนผลิตรายการวาไรตี้ใหม่ๆ ลงจอ แต่ดูเหมือนว่ายังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก
จนล่าสุดได้ปรับแนวทางใหม่ หันมาเน้นคอนเทนต์บันเทิงมากขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนฐานคนดูผู้หญิง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของสินค้าคอนซูเมอร์โปรดักต์ ซึ่งเป็นกลุ่มหลักในการซื้อโฆษณา โดยจะเริ่มผลิตละครในปีหน้า
ขณะเดียวกันหันมาคว้ารายการ “The Voice Thailand“ จากช่อง 3 โดยใช้เงินลงทุนกว่า 500 ล้านบาท คว้าลิขสิทธิ์มาจากกลุ่ม Talpa เป็นเวลา 3 ปี รวม 3 รายการ คือ The Vocie, The Voice Kids และ The Voice Senior โดยให้ บริษัท APJ & Co ซึ่งเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์เดิมตอนอยู่ช่อง 3 เปลี่ยนมาเป็นผู้ผลิตรายการ The Voice แทน ไม่ต้องแบกรับค่าเช่าเวลา แต่มีรายได้จากค่าผลิตและค่าโฆษณา
นอกจากนี้ ยังได้คว้า The Face Men Season 2 มาจากช่อง 3 มาออกอากาศที่พีพีทีวีด้วยเช่นกัน และใช้วิธีเดียวกัน
การที่พีพีทีวีเลือกดึงรายการเหล่านี้มา เพราะเป็นรายการที่รู้จักอยู่แล้ว และยังมีฐานผู้ชมจำนวนมาก มาช่วยสร้างฐานผู้ชมให้กับพีพีทีวี ได้รวดเร็วกว่านำรายการใหม่มาออกอากาศ
จับตาอีกหลายรายการจ่อโดดเข้าพีพีทีวีอีกเพียบ
แหล่งข่าวในวงการทีวีกล่าวด้วยว่า ยังมีอีกหลายรายการในช่องใหญ่ที่จ่อคิวย้ายช่องมาพีพีทีวี เพราะสภาวะเศรษฐกิจ โดยที่ถนนทุกสายกำลังมุ่งหน้าไปที่ช่องพีพีทีวี ที่พร้อมจะอ้าแขนรับ เพราะตั้งเป้าหมายว่า จะต้องอยู่ในอันดับ 10 แรกภายในปีนี้ จากนั้นจะใช้เวลาอีก 3 ปี เป็น 1 ใน 3 ของทีวีที่มีคนดูสูงสุด
จากอันดับเรตติ้งเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พีพีทีวีอยู่ในช่องอันดับ 13 เรตติ้งเฉลี่ยช่องอยู่ที่ 0.149 ส่วนเรตติ้งรายสัปดาห์ล่าสุด 12-18 พฤศจิกายน พีพีทีวีอยู่ในอันดับที่ 12 เรตติ้งเฉลี่ย 0.146.