AIS ตอกย้ำภาพผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร เปิดทดสอบระบบ 5G เป็นรายแรกในไทย พร้อมให้สัมผัสประสบการณ์สุดล้ำในแบบ 5G แสดงศักยภาพของคลื่นสัญญาณที่จะมาพลิกโฉมภาคอุตสาหกรรมสู่ความได้เปรียบในการแข่งขันในยุคดิจิทัล
โดยเอไอเอสและโนเกีย ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ กสทช. ให้สามารถเปิดการสาธิต 5G บนคลื่น ความถี่ย่าน 26.5-27.5 GHz ได้อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2561 ซึ่งพร้อมเปิดให้คนไทย และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้สัมผัสประสบการณ์และใช้เทคโนโลยี 5G ครั้งแรกในเมืองไทย ในงาน “5G the First LIVE in Thailand by AIS” ณ AIS DC ชั้น 5 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม (ชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย)
เพื่อแสดงให้เห็นประโยชน์ของ 5G ที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะเทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจทุกระดับ อันจะเป็นการยกระดับขีดความสามารถเศรษฐกิจและสังคม โดยจะทยอยนำเสนอเทคโนโลยีจากพันธมิตรระดับโลกรายอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
โดยงานนี้ AIS ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก โนเกีย, หัวเหว่ย และ แซดทีอี เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี และช่วยเสริมแรงบันดาลใจในการเตรียมความพร้อมองค์กรให้สอดรับกับเทคโนโลยีอนาคตที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้ เริ่มต้นด้วยความร่วมมือกับ NOKIA ผู้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีระดับโลก ที่นำเสนอการสาธิต 5G ผ่าน 5 รูปแบบนวัตกรรมสุดล้ำ ครั้งแรกของเมืองไทย อันประกอบด้วย
5G Super Speed
การแสดงศักยภาพที่สำคัญของเครือข่าย 5G เช่น ความเร็วในการรับส่งสัญญาณ (Throughput) และความหน่วง (Latency) บูธนี้ แสดงให้เห็นถึง การปล่อยสัญญาณ 5G ผ่านเสาอากาศ ไปหาเครื่องมือถือ ซึ่งเป็นอุปกรณ์มือถือต้นแบบ (Prototype) ที่มี chipset รองรับ 5G โดยไม่ได้ใช้อุปกรณ์พิเศษ เพื่อจำลองให้ผู้บริโภคได้เห็นถึงสภาวะแวดล้อมเสมือนจริงของการทำงานของสถานีฐานในการส่งสัญญาณผ่านอากาศไปยัง Handset 5G ต้นแบบ ทำให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงประสบการณ์จริง ว่าเมื่อเครือข่าย 5G มาถึง ความเร็วที่ได้รับผ่านมือถือจริงๆ นั้น จะมีความเร็วที่สูงระดับ Gigabit และความหน่วง (Latency) ที่ต่ำในระดับ 5ms
ขออธิบายเพิ่มเติมว่า ค่าสปีดที่ได้จากการทดสอบนี้ จะแตกต่างจากการทดสอบสปีด 5G ในต่างประเทศ ตามที่เราเคยเห็นในสื่อต่างๆ เนื่องจาก ในต่างประเทศนั้น เป็นการทดสอบสปีดบนวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ด้วยรูปแบบวิธีการที่ต่างกัน กล่าวคือ มีการใช้ตัวรับสัญญาณเป็นอุปกรณ์พิเศษ ที่ไม่ใช่มือถือ และเป็นการทดลองในห้องแล็บที่ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมจริง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ คือ ค่าสปีดสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางครั้งความเร็วอาจแตะถึงระดับ 15 Gbps ขึ้นไป ซึ่งได้ยินว่า เร็วๆ นี้ เอไอเอสก็จะนำการทดสอบในลักษณะข้างต้นนี้ มาแสดงให้ชมเช่นกัน
5G Ultra Low Latency – Cooperative Cloud Robot
การสาธิตประสิทธิภาพการตอบสนองที่รวดเร็วของเครือข่าย 5G โดยการใช้หุ่นยนต์สามตัวในการหาจุดสมดุล ที่ทำให้ลูกบอลอยู่กึ่งกลางกระดาน การสาธิตแสดงเวลาที่หุ่นยนต์ใช้ในการหาจุดสมดุลผ่านการสื่อสารระหว่างกันโดยใช้เครือข่าย 4G เปรียบเทียบกับเครือข่าย 5G ซึ่งผลที่ได้เมื่อเปรียบเที่ยบกันเครือข่าย 5G นั้นได้เปรียบทั้งในเรื่องของความเร็วและความแม่นยำอย่างเห็นได้ชัดเทคโนโลยีนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับรถยนต์ไร้คนขับ รีโมทคอนโทรลสั่งงานเครื่องจักร
5G for Industry 4.0
หุ่นยนต์จะมีบทบาทอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 การทำงานร่วมกันของเครื่องจักรจากหลายสายการผลิตต้องการการเชื่อมต่อไร้สายที่มีความหน่วงต่ำและความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งจะทำให้สายการผลิตทำงานได้เร็วขึ้น ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการสาธิตหุ่นยนต์ YuMi® Dual-Arm Collaborative Robot จาก ABB ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย 5G
5G Virtual Reality – immersive video
การสาธิต การดูวิดีโอที่แสดงสภาวะเสมือนจริง (immersive video) ผ่านเครือข่าย 5G ผู้ที่ใส่แว่นตา VR จะสามารถมองเห็นได้รอบด้าน 360 องศา การดูวีดีโอ VR ที่มีความคมชัด ต้องการ bandwidth ที่สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นการถ่ายทอดสด หรือ live streaming หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ทดลองใช้ VR มาแล้ว อาจจะรู้สึกปวดหัวเมื่อใช้งานไปนานๆ นั่นเพราะความหน่วงของการรับส่งข้อมูลที่ไม่สัมพันธ์กับภาพตอนที่เราหันไปมองตามมุมต่างๆ แต่เมื่อเล่นบนเทคโนโลยี 5G จะแสดงผลแทบจะเรียลไทม์และไม่หน่วง ช่วยลดอาการเวียนหัวจากการดูวิดีโอผ่านแว่น VR ลงไปด้วย
5G FIFA Virtual Reality
ทดลองความเร็วของเครือข่าย 5G ด้วยตัวคุณเอง โดยการเตะลูกบอล Virtual Reality ที่จุดโทษผ่านเครือข่าย 5G การตอบสนองของผู้รักษาประตูในขณะเซฟลูกจุดโทษที่เราเตะออกไปพบว่า โอกาสยิงเข้าของเราน้อยกว่าเมื่อใช้สัญญาณ 5G เพราะผู้รักษาประตูสามารถพุ่งเซฟลูกยิงของเราได้อย่างรวดเร็ว
เทคโนโลยี 5G นี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะร่วมขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพจากคุณสมบัติ 3 ส่วน คือ 1.ยกระดับความเร็วการใช้ดาต้า 2.ขยายขีดความสามารถการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ IoT ที่จะถูกนำมาใช้อย่างมหาศาล และ 3.เพิ่มคุณภาพเครือข่ายให้สามารถตอบสนองได้รวดเร็วและเสถียรที่สุด ตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางการแพทย์ หรือ อุตสาหกรรมยานยนต์อย่าง Self Driving Car อย่างมีประสิทธิภาพ การทดสอบเทคโนโลยี 5G ครั้งนี้ คือหนึ่งในการเตรียมความพร้อมของเอไอเอส ที่จะทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ และพร้อมนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อตอบสนองการพัฒนาประเทศในอนาคตอันใกล้นี้
สำหรับผู้ที่สนใจทดลองสัมผัสประสบการณ์ในแบบ 5G นี้สามารถไปที่งาน “5G the First LIVE in Thailand by AIS” ที่จัดแสดงตั้งแต่ 22 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2561 ณ AIS DC ชั้น 5 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม งานนี้ชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย