“ SONIC ” กางแผนปี 62 ปั้นรายได้ ทุบสถิติใหม่ แตะ 1,300 ล้านบาท

บมจ.โซนิค อินเตอร์เฟรท หรือ SONIC  กางแผนกลยุทธ์ปี 2562 เร่งเดินหน้าขยายการลงทุนตามแผน เตรียมทุ่มงบราว 200 ล้านบาท ปูทางระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจร ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ พร้อมสยายปีก เจาะกลุ่กค้ากลุ่ม CLMV เล็งตั้งเป้าหมายสร้างฐานรายได้ปี 62 ทุบสถิติใหม่ แตะ 1,300 ล้านบาท

ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด(มหาชน) หรือ SONIC  เปิดเผยว่า ในปี2562 บริษัทฯคงยังขยายการลงทุนตามแผนอย่างต่อเนื่อง หลังจากระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอไอ ในช่วงที่ผ่านมา  โดยบริษัทฯจะใช้เงินประมาณ 60 ล้านบาท สำหรับการเพิ่มจำนวนรถบรรทุกหัวลาก – หางลาก เพื่อรองรับบริการขนส่งสินค้าทางบก และอีก 60 ล้านบาท จะใช้สำหรับปรับปรุงอาคารและพื้นที่ศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า บนพื้นที่ขนาด 2,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับพันธมิตรทางธุรกิจ สำหรับรองรับบริการขนส่งสินค้าผ่านชายแดน โดยเฉพาะการขยายตลาดไปในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม)

อีกทั้ง บริษัทฯยังมีแผนใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินและอาคารพาณิชย์ เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริหารในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง อีกราว 60 ล้านบาท ซึ่งตามแผน คาดว่าจะแล้วเสร็จ และให้บริการได้ในปี 2562  ทั้งนี้ ยังเตรียมงบลงทุนอีกราว 20 ล้านบาท เพื่อลงทุนเพิ่มเติมในการพัฒนาระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจาจัดหาพื้นที่เช่าเพิ่มเติมภายในสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรองรับงานโอเปอเรชั่น สำหรับการขยายตลาดการขนส่งสินค้าทางอากาศ เพิ่มขึ้นอีกด้วย

SONIC  มองโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ จากการหาพันธมิตรใหม่ๆ รวมไปถึงการมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ หรือ M&A  เนื่องจากมองว่ากลยุทธ์ดังกล่าว จะมีส่วนสนับสนุนให้ SONIC สามารถขยายฐานลูกค้ารายใหม่ในภูมิภาคเอเชียได้ง่าย และเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดสิงค์โปร์ และฮ่องกง ที่ปัจจุบันถือเป็นศูนย์กระจายสินค้าชั้นนำของภูมิภาค

ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากแผนการลงทุนทั้งหมด ทำให้SONIC มั่นใจว่า จะช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจร ให้แก่ลูกค้ารายใหม่ และเก่า ทั้งในและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจะเป็นส่วนสำคัญ ที่จะสนับสนุนอัตราการเติบโตของรายได้ในปี2562 ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% หรือ 1,300 ล้านบาท