- แบบสำรวจความเห็นเชิงลึกชาวอเมริกันจำนวน 1,000 คน ถึงความต้องการประสบการณ์ใช้งานต่างๆ ภายในบ้าน การเดินทาง สุขภาพและร้านค้า
- ผู้ตอบแบบสอบถาม มากกว่า 70% จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถไฮบริดในอนาคต ขณะที่ 51% คิดว่าจะมีโอกาสได้เดินทางด้วยไฮเปอร์ลูป และ 38% จะเดินทางด้วยแท็กซี่ลอยฟ้า
- ความต้องการเทคโนโลยีเพื่อสมาร์ทโฮมยิ่งร้อนแรง 73% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้อุปกรณ์สำหรับรีโมท ควบคุมและตรวจสอบสิ่งต่างๆ ภายในบ้าน ขณะที่ 70% บอกว่าจะมีระบบสมาร์ทโฮมอย่างสมบูรณ์แบบ และ 40% เลือกใช้หุ่นยนต์แม่บ้าน
- กลุ่มมิลเลนเนียลคาดหวังจะได้รับประสบการณ์การใช้งานตามรสนิยมส่วนตัวกับเทคโนโลยีทุกชนิด แต่การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ผู้ให้บริการนำไปพัฒนาคุณภาพการให้บริการยังคงเป็นเรื่องน่ากังวล
แดสสอล์ท ซิสเต็มส์ (Dassault Systèmes) ร่วมกับบริษัทวิจัยอิสระ CITE Research เผยผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในเมืองใหญ่ พบว่า ภายในปี 2030 เทคโนโลยีจะเข้ามาเติมเต็มและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
การเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง (Hyperloop) เปลี่ยนบ้านธรรมดาให้กลายเป็นสมาร์ทโฮม (Smart Home) การใช้จ่ายผ่านอุปกรณ์โมบายล์ (Mobile Payment) และแผนการประกันสุขภาพส่วนบุคคล (Personalized Preventive Health Plan) สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความต้องการที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาท และอาจจะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้คนในอนาคต สอดคล้องกับคำตอบของกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม จากผลสำรวจถึงประสบการณ์ใช้งานเทคโนโลยีในอนาคตที่ผู้บริโภคคาดหวังพบประเด็นสำคัญคือ ภายในปี 2030 การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเติมเต็มประสบการณ์การใช้งานตามรสนิยมของผู้บริโภคเป็นเรื่องที่แบรนด์ควรตระหนัก ทั้งการใช้ชีวิตภายในบ้าน การเดินทาง สุขภาพ และการจับจ่ายใช้สอย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายหมวดหมู่ที่น่าสนใจ อาทิ เรื่องความปลอดภัย การใช้พลังงาน ความสะดวกสบาย การเข้าถึง การออม และ ประกันชีวิต ที่คาดหวังว่าจะมอบประโยชน์การใช้ชีวิตของพวกเขาจากเทคโนโลยีอื่นๆ
ข้อมูลที่ได้รับจากการตอบแบบสอบถาม:
- ประสบการณ์ใช้งานตามรสนิยมของกลุ่มมิลเลนเนียลมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเทคโนโลยี ชาวมิลเลนเนียลอายุระหว่าง 18 – 34 ปี ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ส่วนบุคคล ดังนั้น เทคโนโลยีควรนำเสนอรูปแบบการใช้งานให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตนเองและตลอดเวลา ผู้ตอบแบบสอบถามอายุ 35 ปีขึ้นไป คาดว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นอีกด้วย
- ในปี 2030 บ้านจะยิ่งปลอดภัยและประหยัดพลังงานมากขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 70% กล่าวว่า ในอนาคตจะเลือกใช้อุปกรณ์ที่สามารถรีโมทเพื่อควบคุมและตรวจสอบ การสั่งงานด้วยเสียง และวางระบบภายในบ้านแบบสมาร์ทโฮม หรือ บ้านอัจฉริยะ ขณะที่ ผู้ตอบแบบสอบถาม 49% เลือกใช้แม่บ้านอัจฉริยะหรือหุ่นยนต์แม่บ้าน
- ระบบไฟฟ้าและการเชื่อมต่ออัจฉริยะจะยกระดับระบบขนส่งมวลชนและยานยนต์ ช่วยให้ประหยัดต้นทุน ลดเวลาในการเดินทาง และสร้างความปลอดภัยให้กับผู้เดินทางบนท้องถนนมากยิ่งขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถาม มากกว่า 70% คาดการณ์ว่า จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถไฮบริดในอนาคต ขณะที่ กว่า 50% คาดว่า จะเลือกใช้ระบบขนส่งความเร็วสูงหรือรถไฟความเร็วสูง (Hyperloop) ด้านผู้ตอบแบบสอบถาม 38% คาดว่า จะมี “แท็กซี่ลอยฟ้า” เปิดให้ใช้บริการ ขณะที่ผู้ขับขี่กว่า 75% เชื่อว่า จะได้รับประสบการณ์ขับขี่รถยนต์ที่ดีขึ้นในอนาคต เช่น เทคโนโลยีเพื่อการวางแผนการเดินทางหรือกำหนดเส้นทางและแผนการควบคุมการจราจรในเขตเมือง อย่างไรก็ดี ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังไม่ยินดีที่จะเปิดให้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเพื่อใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ
- แผนการประกันสุขภาพส่วนบุคคลและการติดตั้งเครื่องมือสำหรับดูแลสุขภาพภายในบ้าน หรือโฮมทรีทเมนท์ (Home Treatment) จะใช้กันแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 80% คาดว่า เทคโนโลยีจะช่วยให้พวกเขาจัดการสุขภาพได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นซึ่งจะช่วยป้องกันโรคและช่วยให้พวกเขาใช้ชีวิตได้นานขึ้น โดย 83% มองว่าแผนประกันสุขภาพที่ตรงกับพฤติกรรมหรือโภชนาการจะตอบโจทย์มากที่สุด 81% มองว่าจะซื้อเครื่องมือในการดูแลสุขภาพมาติดตั้งหรือนำมาใช้ที่บ้านเอง และ 80% คาดว่าจะมีระบบบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์เปิดให้ใช้บริการ 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่า เทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชั่นสำหรับวินิจฉัยสุขภาพที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือที่บ้านอุปกรณ์สวมใส่ และศัลยกรรมกระดูกเทียมจะถูกนำมาใช้มากขึ้นในอนาคต
- ร้านค้ารูปแบบเดิมจะยังมีอยู่ สิ่งที่จะเพิ่มเข้ามาคือการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มความสะดวกในการชำระเงินและบริการต่างๆ ในร้านค้า ผู้ตอบแบบสอบถาม 84% เชื่อว่า การเปิดให้ชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือและการเพิ่มความสะดวกสบายด้านการส่งของได้ทุกที่ทุกเวลาช่วยเร่งให้อุตสาหกรรมซื้อขายสินค้าร้อนแรงมากยิ่งขึ้น ขณะที่ 45% เชื่อว่า การพัฒนาการซื้อขายผ่านร้านค้าเสมือนจริงให้สำเร็จภายในปี 2030 ยังไกลเกินเอื้อม
ผลการศึกษาฉบับนี้จัดทำขึ้นโดย แดสสอล์ท ซิสเต็มส์ ผ่านระบบถาม-ตอบแบบออนไลน์ โดยผู้ตอบแบบสอบถามชาวอเมริกันกว่า 1,000 คน ระหว่างวันที่ 19 – 29 พฤศจิกายน 2561
เกี่ยวกับแดสสอล์ท ซิสเต็มส์ (Dassault Systèmes)
แดสสอล์ท ซิสเต็มส์ คือบริษัท 3DEXPERIENCE ที่นำเสนอโลกเสมือนจริงให้แก่ผู้คนและองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างยั่งยืน ด้วยโซลูชั่นระดับชั้นนำของโลกที่ปรับปรุงแนวทางการออกแบบ ผลิต และสนับสนุนผลิตภัณฑ์ต่างๆ โซลูชั่นการประสานงานร่วมกันของแดสสอล์ท ซิสเต็มส์ ช่วยส่งเสริมนวัตกรรมทางสังคม ขยายความเป็นไปได้สำหรับโลกเสมือนจริงเพื่อปรับปรุงโลกแห่งความเป็นจริง บริษัทฯ มอบคุณประโยชน์ให้แก่ลูกค้าองค์กรทุกขนาดกว่า 220,000 รายในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมในกว่า 140 ประเทศ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.3ds.com
3DEXPERIENCE, the Compass logo and the 3DS logo, CATIA, SOLIDWORKS, ENOVIA, DELMIA, SIMULIA, GEOVIA, EXALEAD, 3D VIA, BIOVIA, NETVIBES and 3DEXCITE เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของแดสสอล์ท ซิสเต็มส์ หรือเป็นของบริษัทในเครือ ทั้งที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา และ/หรือ ประเทศอื่นๆ