ออโต้บอท (Autobot) หุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะเตรียมรุกตลาดออนไลน์ ผนึกพันธมิตร Shopee

ออโต้บอท (Autobot) หุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะเตรียมรุกตลาดออนไลน์ ผนึกพันธมิตร Shopee โตสวนกระแสกับภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบ Smart Home Smart Technology เตรียมพร้อมก้าวเข้าสู่ยุค IOT และ AI เต็มรูปแบบ เชื่อมั่นอีก 3-5 ปี ภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะจะมียอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น

คุณธรรมสร มีรัตน์ Co Founder & Managing Director บริษัท โรบอท เมคเกอร์ จำกัด เปิดเผยว่า “…อย่างที่ทุกท่านทราบดีว่า หุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะ ที่มีชื่อเรียกว่า ออโต้บอท (Autobot) มีจุดขายด้านผลิตภัณฑ์ที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ สำหรับใช้งานในบ้าน โดยทางเรามีการร่วมมือกับ Partners ซึ่งเป็นผู้ผลิตในหลายๆ ประเทศ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันผลิตภัณฑ์มีเทคโนโลยีที่เทียบได้ว่าอยู่ในระดับแถวหน้าของโลก โดยหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะ มุ่งเน้นให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของ พ่อบ้าน แม่บ้านยุคใหม่ที่มีเวลาทำงานบ้านจำกัด ซึ่ง Autobot จะทำหน้าที่ช่วยผ่อนแรงและประหยัดเวลาด้วยนวัตกรรมแบบ IOT และ AI…”

สำหรับในปีนี้ นอกจากจะมีการอัพเดทเรื่องนวัตกรรมแล้ว ทาง Autobot ยังตอกย้ำการผนึกกำลังร่วมกับ Shopee ผู้นำแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เพื่อกระตุ้นยอดขายจากการสั่งซื้อทางออนไลน์ โดย คุณศิวกร สิริวงศ์ภาณุพงศ์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงความร่วมมือกับ Autobot ว่า “Shopee เองได้รับความไว้วางใจจากหลากหลายแบรนด์สินค้าชั้นนำเพื่อร่วมต่อยอดธุรกิจของแบรนด์ในช่องทางออนไลน์ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของ Autobot นับตั้งแต่แบรนด์เปิดตัวร้านค้าออฟฟิเชียลกับเราครั้งแรกในปี พ.ศ. 2560 โดยในปีที่ผ่านมา Autobot Official Store มียอดออเดอร์เติบโตสูงขึ้นถึง 15 เท่า และเป็นหนึ่งในแบรนด์หุ่นยนต์ดูดฝุ่นยอดนิยมของผู้ใช้ช้อปปี้ จากนี้ไปเราจะทำงานอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นกับ Autobot เพื่อส่งมอบดีลพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟและโปรโมชั่นพิเศษๆให้แก่ผู้ใช้ช้อปปี้ในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย”

ส่วนหนึ่งของความร่วมมือ Autobot ร่วมเฉลิมฉลองในแคมเปญใหญ่ Shopee Brands Festival เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 4 เมษายน นี้ นักช้อปพลาดไม่ได้ เพราะ Autobot มอบโปรโมชั่นพิเศษ ส่วนลดสูงสุดถึง 60% สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Autobot และแจกโค้ดส่วนลดในร้านค้า Autobot Official Store บน Shopee Mall

สำหรับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยปีนี้ Autobot ใช้งบลงทุนประมาณ 50-100 ล้านบาท เพื่อทำการสร้างแบรนด์โดยเน้นช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียเป็นหลัก ซึ่งคาดการณ์ว่าใน 3-5 ปีนี้ ตลาดหุ่นยนต์ดูดฝุ่นและเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท Smart Home Appliance จะมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มสูงถึง 30-40% โดยกลุ่มเป้าหมายของลูกค้า Autobot คือ กลุ่มคนที่ไม่มีเวลาในการทำสะอาดบ้านและกลุ่มคนยุคใหม่ที่มี Lifestyle ในการใช้ชีวิตที่ให้ความสำคัญกับเวลา เพราะผลิตภัณฑ์ของ Autobot ถูกออกแบบขึ้นมา เพื่อช่วยให้การใช้ชีวิตของลูกค้าสะดวกสบายและมีความสุขมากยิ่งขึ้น ภายใต้สโลแกน “Power Your Living”

ปัจจุบันตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัตโนมัติภายในบ้านในประเทศไทยมีจำนวน 5-7 แบรนด์ ทั้ง Global Brand และ Local brand โดย Autobot มีส่วนแบ่งทางการตลาดติดอยู่ใน Top 4 และตั้งเป้าที่จะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในระยะเวลา 1-3 ปี ด้วยจุดขายสำคัญในเรื่องบริการหลังการขาย โดยเฉพาะการรับประกันสินค้าที่ทาง Autobot จะดูแลลูกค้าตลอดอายุการใช้งาน แม้ว่าลูกค้าจะหมดการรับประกันไปแล้วก็ตาม หากเครื่องมีปัญหาลูกค้าสามารถส่งมาให้ทางบริษัทดูแลได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีบริการให้ลูกค้าสามารถนำเครื่องมาทำความสะอาดฟรีทุก 6 เดือน ไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่เน้นย้ำและให้ความสำคัญอย่างมาก ซึ่งแนะนำว่าการทำความสะอาดเครื่องเป็นประจำจะสามารถช่วยให้เครื่องมีอายุการใช้งานได้ยาวนานมากกว่า 5-10 ปี

แผนธุรกิจของ Autobot เน้นย้ำในการสร้างและวิจัยผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีใหม่ กับทาง Partner ของเรา โดยเฉพาะ Shopee และทีมวิจัยในบริษัท ในปีที่ผ่านมา ทางบริษัท น้ำครึ่งแก้ว จำกัด ภายใต้การบริหารจัดการของ Aurobot ได้รับทุนสนับสนุนผลิตและวิจัยจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อผลิตหุ่นยนต์ขัดพื้นห้องน้ำตัวแรกของโลก ซึ่งได้มีการเปิดจำหน่ายสินค้า 100 ตัวแรกไปแล้วในปีที่ผ่านมา และคาดว่าพร้อมจะจัดจำหน่ายเพิ่มเติมได้ในปีนี้ นอกจากนี้ทาง Autobot ยังมีแผนที่จะขยายจุดจำหน่ายเพิ่มเติมให้มีทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 70 สาขา ภายใน 2 ปี

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของ Autobot สามารถสั่งซื้อได้ทั้งช่องทางออนไลน์ผ่านทาง ผ่านทางร้านค้าออฟฟิเชียลของ Autobot บน Shopee Mall ที่ https://www.shopee.co.th/autobot_official และฝั่งออฟไลน์ที่มีจุดให้บริการลูกค้าผ่านทางหน้าร้านของเรา และพันธมิตรของเราอย่าง B2S และ Betrend กว่า 30 จุด ทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มจุดบริการลูกค้าเราผ่านทางช่องทางอื่นๆ ได้อีกประมาณ 20-30 จุดภายในปีนี้