เปิดประวัติศาสตร์อันยาวนาน ของ Mitsubishi Heavy Duty ที่มาของความอึด “เป็นแอร์โอ้ ต้องอดทน”


หลังจากที่เราเห็นคลิปโฆษณาของมิตซูบิชิ เฮฟวี่ ดิวตี้ ที่ได้พระเอกหน้าหล่อมาดกวนอย่าง มาริโอ้ เมาเรอร์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ถ่ายทอดเมสเสจของแบรนด์ ที่ยังคงเดินหน้าตอกย้ำจุดแข็งในเรื่องความ อึด ถึก ทน ต่อเนื่องมาหลายปี โดยช่วงฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง ถือเป็นไฮซีซั่นของเครื่องปรับอากาศปีนี้นั้น เฮฟวี่ ดิวตี้ ก็กล้าเคลมแบบไม่เกรงกลัวแดดเมืองไทยเลยว่า แอร์เฮฟวี่ ดิวตี้ สามารถเปิด 24 ชั่วโมง ติดต่อกันนานถึง 5 ปี!


ซึ่งแอร์ Inverter รุ่นใหม่ YW Series ของเฮฟวี่ ดิวตี้นั้นมาพร้อม 4 ฟังก์ชั่นสุดล้ำอย่าง “Jetflow” ที่ได้รับการออกแบบระบบจ่ายลมด้วยเทคโนโลยีเดียวกับใบพัดในเครื่องยนต์เจ็ท ทำให้สามารถส่งลมไปได้ในระยะไกล, “High Power” เปิดโหมดทำงานต่อเนื่องพลังสูงเป็นเวลา 15 นาที ช่วยให้เข้าถึงอุณหภูมิตามที่ต้องการอย่างรวดเร็ว, “24 Hour ION” ฟังก์ชั่นที่ทำให้อากาศสดชื่นเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ด้วยการปล่อยประจุลบตลอด 24 ชั่วโมง จากสารทัวมาลีนซึ่งเคลือบไว้ใต้ช่องจ่ายลม และ “Self Clean Operation” ฟังก์ชั่นที่ทำให้คอยล์เย็นแห้งเพื่อยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา โดยพัดลมจะทำงานในรอบต่ำเพื่อเป่าลมไล่ความชื้นออกจากตัวคอยล์เย็นเป็นเวลา 2 ชั่วโมงหลังจากปิดเครื่อง

เมื่อนวัตกรรมถูกนำมาผสานกับการออกแบบเพื่อการใช้สอยที่เข้าถึงประสิทธิภาพแบบเต็มขั้น กลายเป็น “แอร์โอ้” ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างยาวนาน นี่จึงเป็นที่มาที่เราอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแบรนด์มิตซูบิชิ เฮฟวี่ ดิวตี้ กับชายผู้ก่อตั้งนามว่า “อิวาซากิ ยาตาโร” ที่ชีวิตของเขาก็อึด ถึก ทน ไม่แพ้กัน จากตระกูลซามูไร ต้องกลายมาเป็นชาวนา ตกงาน ติดคุก ผ่านเรื่องราวอย่างโชกโชนมาด้วยวิถีแห่งซามูไรผู้ยากจน

จุดเริ่มต้นของ มิตซูบิชิ มาจาก อิวาซากิ ยาตาโร ที่เติบโตมาในครอบครัวชาวนาที่เมืองอากิ แคว้นโทซะ (ปัจจุบันคือจังหวัดโคจิบนเกาะชิโกกุ) แคว้นนี้มีส่วนสำคัญในการติดต่อและสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจในหลายๆ ส่วนของญี่ปุ่น นั่นจึงทำให้ยาตาโร เป็นคนที่มีหัวทางการค้า และการเจรจาทางธุรกิจติดตัวมา

ช่วงที่ครอบครัวของเขาประสบปัญหาทางด้านการเงินปู่ของ Yataro ได้ขายสถานะซามูไรของครอบครัวเพื่อปลดหนี้ ชายหนุ่มผู้ทะเยอทะยานรู้ดีว่าทรัพย์อันทรงคุณค่าที่จะอยู่ติดตัวเราไปจนตายนั่นก็คือการศึกษา เมื่ออายุได้ 19 ปี อิวาซากิได้ออกเดินทางไปยังเอโดะ (ปัจจุบันคือโตเกียว) เพื่อไปรับการศึกษาต่อ แต่มีเหตุให้ต้องยุติการเรียนลงเนื่องจากพ่อของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกรณีพิพาทกับหัวหน้าหมู่บ้าน พร้อมถูกกล่าวหาว่าทุจริต ทำให้อิวาซากิต้องถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 7 เดือนหลังจากที่ได้รับการปล่อยตัว เขาก็ไม่มีงานทำ จึงได้เริ่มประกอบอาชีพเป็นครูสอนเด็กในหมู่บ้าน และได้แต่งงานกับอิวาซากิ คิเซะ ในเวลาต่อมาอิวาซากิมีโอกาสได้ทำงานให้กับแคว้นโทซะโดยการชักชวนของโยชิดะ โทโย ซึ่งแคว้นโทซะนั้นถือเป็นศูนย์กลางของสำคัญของหลากหลายธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น

 

ต่อมาในปี ค.ศ.1862 โยชิดะ โทโย ผู้ที่ชักชวนให้ยาตาโร่มาทำงานได้ถูกลอบสังหาร ทำให้เขาขาดการติดต่อกับแคว้นโทซะ กระทั่ง โกโต โชจิโร หลานของโยชิดะ โทโย ได้ติดต่อและรับอิวาซากิกลับเข้าทำงานอีกครั้ง

อิวาซากิมุ่งมั่นตั้งใจทำงานจนสามารถซื้อสถานะซามูไรของตระกูลกลับมาได้ จากความทุ่มเทในงานนี้ ทำเขาได้รับความไว้วางใจจนได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าของแคว้นโทซะ รับผิดชอบด้านการค้าในนางาซากิเพื่อขายน้ำมัน การบูร กระดาษ รวมทั้งการติดต่อซื้อขาย เรือ อาวุธ และกระสุนปืนกลับแคว้นโทซะ พร้อมทั้งได้รับหน้าที่ดูแลการเงินของกลุ่มการค้าไคเอ็นไตของซากาโมโตะ เรียวมะ และจัดหาเรือ “อิโรฮะมารุ” ให้กลุ่มไคเอ็นไตใช้ในการดำเนินกิจการ

(เรืออิโรฮะ มารุ)

หลังจากช่วงการฟื้นฟูสมัยเมจิ ในปี ค.ศ.1868 มีการบังคับให้ยกเลิกการหาผลประโยชน์ของกลุ่มการค้าในระบอบโชกุน อิวาซากิจึงเดินทางไปโอซากะและเป็นผู้นำการค้าให้กับบริษัทการค้าของอดีตแคว้นโทซะ ภายหลังบริษัทนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น มิตซูบิชิ

ช่วงก่อตั้งมิตซูบิชิ จุดเริ่มต้นของแบรนด์สุดแกร่ง

อิวาซากิ ยาตาโร ได้ก่อตั้งบริษัทเป็นของตนเองเมื่อเดือน มีนาคม ค.ศ. 1870 พร้อมกับตั้งชื่อบริษัทว่า มิตซูบิชิ โดยตราของบริษัทเป็นการนำตราประจำตระกูลอิวาซากิของตัวเองมารวมกับตราประจำตระกูลยามาอูจิซึ่งเป็นเจ้าครองแคว้นโทซะในสมัยนั้น

 

ตระกูลยามาอูจิ เป็นตระกูลไดเมียวที่ปกครองแคว้นโทซะ ช่วงปี ค.ศ. 1600 – 1871 โดยมียามาอูจิ คาซูโตโยะ เป็นต้นตระกูลและเป็นไดเมียวคนแรกของแคว้น หลังจากนั้นมีไดเมียวที่ปกครองแคว้นนี้อีก 14 คน หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1871 ตำแหน่งไดเมียวถูกยกเลิก และแคว้นโทซะเปลี่ยนสภาพเป็นจังหวัดโคจิ

ในปี ค.ศ.1874-1875 ยาตาโรได้รับว่าจ้างจากจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้ดำเนินธุรกิจการขนส่งกองทัพทหารญี่ปุ่นและยุทโธปกรณ์ และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ซื้อเรือรบจำนวนหนึ่งเพื่อดำเนินภารกิจต่อต้านชาวพื้นเมือง Paiwan ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไต้หวัน ซึ่งเรือเหล่านี้จะได้รับภายหลังจากที่มิตซูบิชิดำเนินการปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นใน ค.ศ.1875 เรื่องความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างมิตซูบิชิกับรัฐบาลใหม่เป็นสิ่งยืนยันได้ถึงความสำเร็จของบริษัทที่ก่อตั้งใหม่ได้อย่างดี ในทางกลับกัน บริษัทมิตซูบิชิก็ได้ให้การสนับสนุนรัฐบาลใหม่ในการลำเลียงกองกำลังเพื่อทำการต่อต้านกบฏซัตสึมะได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1877 ดังนั้นความสำเร็จของมิตซูบิชิจึงกลายมาเป็นจุดเกี่ยวพันที่สำคัญกับการขยายอำนาจของรัฐญี่ปุ่นยุคใหม่ ต่อมาภายหลังมิตซูบิชิได้ขยายฐานการลงทุนไปในกลุ่มเหมืองแร่ อู่ซ่อมเรือ และการเงิน ในปี ค.ศ. 1884 เขาได้เข้าดำเนินธุรกิจอู่ต่อเรือนางาซากิ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถที่จะดำเนินการต่อเรือขนาดใหญ่ได้ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น Nagasaki Shipyard & Machinery Works

อิวาซากิ ยาตาโร ถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1885 โดยผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขาคืออิวาซากิ โยโนซูเกะน้องชาย และถัดมาเป็นลูกชายของเขา อิวาซากิ ฮิซายะ หลังจากสิ้นยุคของยาตาโร มิตซูบิชิ ภายใต้การบริหารงานของผู้สืบทอดก็ได้ขยายกิจการจากการต่อเรือไปยังกลุ่มรถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

 

บทบาทสำคัญของมิตซูบิชิที่ถูกเขียนขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์โลกก็คือการเข้าไปมีส่วนร่วมกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี 1939 – 1945 ในฐานะผู้ผลิตเครื่องบิน Mitsubishi A6M Zero ถือเป็นเครื่องบินขับไล่ที่มีความสามารถมากที่สุดในโลกเมื่อเปิดตัวเข้าสู่ช่วงต้นของสงคราม จากการผสมผสานความคล่องแคล่วและพิสัยการบินที่ยอดเยี่ยม ทำให้สถิติการรบนั้นพุ่งขึ้นสู่ท็อปชาร์ต A6M Zero หนึ่งลำ สามารถทำลายล้างเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามได้ถึง 12 ลำ โดยกลยุทธ์ที่สร้างความตื่นตะลึงก็คือฝูงบินกามิกาเซ่แบบพลีชีพ ที่นักบิน A6M Zero พุ่งชนเรือรบสร้างความเสียหายให้ทัพเรือและภาคพื้นของฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักหน่วง

นักออกแบบผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอเมริกา นำซากเครื่องบิน A6M Zero ไปวิเคราะห์พบว่าตัวเครื่องบินนั้นมีน้ำหนักราว 2,360 กิโลกรัม เบากว่า F4F Wildcat ซึ่งเป็นเครื่องบินรบมาตรฐานของสหรัฐฯ ถึง 1,260 กิโลกรัม โครงสร้างหลักอย่างเฟรมของ A6M นั้นได้รับการนิยามว่า “มีความปราณีตดั่งนาฬิกาเรือนหรู”  ตั้งแต่บอดี้ ชุดปืน ไปจนถึงแผงหน้าปัด ล้วนเป็นออกแบบที่แฝงไปด้วยความมหัศจรรย์แต่เรียบง่ายโดยสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญประทับใจมากที่สุดก็คือลำตัวและปีกของ Zero ถูกสร้างขึ้นเป็นชิ้นเดียวซึ่งแตกต่างจากวิธีการแบบอเมริกันที่สร้างแยกจากกันแล้วค่อยนำมาเชื่อมต่อทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันในภายหลัง แม้ว่าวิธีการผลิตของมิตซูบิชิจะใช้เวลานนานกว่ามาก แต่ส่งผลให้มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งและควบคุมการบินได้อย่างแม่นยำกว่านั่นเอง

ปัจจุบัน Mitsubishi Heavy Industries ถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ครอบคลุมสินค้าหลากหลายกว่า 700 ประเภท ทั้งภาคพื้นดิน ทะเล อากาศ รวมไปถึงอวกาศด้วย

ความเป็นมาอันยาวนานสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน ของยาตาโรที่พลิกชีวิตครอบครัวซามูไรตกยาก ฝ่าฟันมาจนก่อตั้งแบรนด์แห่งประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นมาได้ เรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ได้ถูกส่งมอบมายังทุกสินค้า และการดำเนินกิจการ เป็น Story Telling ที่ทรงคุณค่า สร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าที่ใช้งานได้เป็นอย่างดี