ปรกติแล้ว “Apple” มักจะจัด Event ครั้งใหญ่ปีละ 3 ครั้ง ได้แก่ เดือนมีนาคมสำหรับเปิดตัวสินค้าเช่น Mac และ iPad, กลางปีราวๆ เดือนมิถุนายน ครั้งนี้จะเทให้สำหรับซอฟต์แวร์ทั้ง IOS และ Mac OS เพราะจะเปิดตัวในงานประชุม WWDC งานสัมมนานักพัฒนาประจำปี และในเดือนกันยายนสำหรับเปิดตัว iPhone
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในปี 2019 คือ การจัดอีเวนต์ประจำเดือนมีนาคม ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืนที่ผ่านมา (25 มีนาคม) สิ่งที่เปิดตัวภายในงานไม่ได้มีอุปกรณ์ใหม่ๆ เลย มีเพียงบริการใหม่ๆ ที่เปิดตัวถึง 4 บริการด้วยกัน
อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ในวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา Apple ได้มีการปิดปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ Apple Store Online ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า น่าจะมีการ Update สินค้าใหม่เกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรบ้าง จะเป็น “AirPods” หูฟังไร้สายที่วางขายมาตั้งแต่ปลายปี 2016 โดยไม่ได้รับการปรับเลย อย่างที่เป็นข่าวลือมาตลอดหรือไม่ ?
ในที่สุดก็เป็นดั่งที่คาดการณ์ไว้ การปิดปรับปรุงหน้าเว็บไซต์เพื่อรองรับการเปิดดังสินค้าใหม่จริงๆ ถือเป็นการเปิดตัวก่อน Event ที่ได้ร่อนการ์ดเชิญสื่อในวันที่ 25 มีนาคม เพราะหลังจากเว็บกลับมาใช้งานได้ในวันเดียวกันนี้ ก็ได้มีสินค้าใหม่ปรากฏขึ้นบนเว็บ นั้นคือ iPad Air และ iPad mini
สิ่งที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้มากที่สุดไม่ใช่ iPad Air ที่ได้ปรับที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 10.5 นิ้ว รองรับ Apple Pencil 1 และ Smart Keyboard ราคาเริ่มต้น 17,900 บาท แต่เป็น “iPad mini” ซึ่งได้ปรับการยกเครื่องในรอบ 2-3 ปี
โดยมาพร้อมจอภาพ Retina รวมถึงชิป A12 Bionic ตัวเดียวกับที่อยู่ใน iPhone XS ซึ่งทำให้สมาร์ทโฟนเครื่องนี้แรงพอๆ กับคอมพิวเตอร์สเปกแรงๆ ทีเดียว สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 13,900 บาท
ยังไม่หมดเท่านั้น Apple ยังได้เปิดขาย AppleCare+ จากเดิมในเมืองไทยจะเป็นสำหรับคอมพิวเตอร์ ได้เพิ่มอุปกรณ์อื่นๆ เข้ามาอีกทั้ง iPhone รองรับตั้งแต่รุ่น iPhone 7 – XS Max ราคา 5,000 – 8,300 บาท, iPad ราคา 2,500 – 4,500 บาท และ Apple Watch 3,000 – 3,700 บาท
แน่นอนเมื่อมีสินค้าใหม่เข้ามาตามสไตล์ Apple สินค้าเดิมก็จะถูกยกเลือกขายไป คร่าวนี้เป็นคิวของ iPad Pro 10.5 นิ้ว และ iPad mini 4
แต่การเปิดตัวสินค้าผ่านเว็บไซต์ของ Apple ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะในวันถัดมา (19 มีนาคม) ได้มีการเปิดตัว iMac รุ่นใหม่ ที่ Apple เคลมว่า มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีก 2 เท่า เพราะ เป็นครั้งแรกที่มีโปรเซสเซอร์ให้เลือกสูงสุดเป็น Intel รุ่นที่ 9 ทั้งแบบ 6-core และ 8-core ให้เลือก และยังมีกราฟิก Radeon Pro Vega ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 80%
ขายในราคาเบาๆ สำหรับจอภาพ Retina 4K รุ่น 21.5 นิ้ว ใหม่มีราคาเริ่มต้นที่ 44,900 บาท และ iMac จอภาพ Retina 5K รุ่น 27 นิ้ว ใหม่มีราคาเริ่มต้นที่ 62,900 บาท ส่วน iMac รุ่นที่ไม่ใช่จอภาพ Retina จะมีจำหน่ายในราคา 37,900 บาท
หลายคนคิดว่าการเปิดตัวสินค้าใหม่ไปถึง 2 วันติด Apple อาจจะพอและเก็บสินค้าตัวอื่นๆ ไว้สำหรับวันที่ 25 บ้าง แต่ขอบอกว่า “คิดผิด” ในวัดถัดมา Apple ได้เปิดตัวสินค้าที่หลายๆ คนรอคอยนั้นคือ “AirPods”
คราวนี้ AirPods ใหม่มาพร้อมขุมพลังอย่างชิป H1 ใหม่ ช่วยให้คุยได้นานขึ้น 50% เชื่อมต่อได้เร็วขึ้น 2 เท่า สามารถเรียกใช้งาน “หวัดดี Siri” ด้วยเสียง และมีเคสชาร์จแบบไร้สายให้เลือกด้วย
AirPods พร้อมเคสชาร์จแบบมาตรฐานจะวางจำหน่ายในราคา 6,500 บาท ส่วน AirPods พร้อมเคสชาร์จแบบไร้สายจะวางจำหน่ายในราคา 7,790 บาท และจะเปิดให้สั่งซื้อทาง apple.com/th และแอป Apple Store เร็วๆ นี้ และจะวางจำหน่ายใน Apple Store ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
และหลังจากเปิดสินค้าใหม่ไปถึง 3 วันติด ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวของ Apple อีกเลยจนถึงงานเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากเปิดสินค้าใหม่รัวๆ ภายในงานจึงไม่มีอุปกรณ์ใหม่เข้าเปิดตัวอีกแล้ว มีเพียงบริการที่เปิดตัว 4 บริการ ซึ่งบางบริการได้มีข่าวหลุดก่อนมาก่อนหน้านี้แล้ว ได้แก่
1.Apple News+ บริการบอกรับสมาชิกสำหรับการอ่านนิตยสาร และคอนเทนต์ต่างๆ จากกว่า 300 สำนักพิมพ์ ในรูปแบบดิจิทัล
เพียงแต่ว่าจะเริ่มให้บริการก่อนในสหรัฐฯ และแคนาดาตามมาด้วยออสเตรเลียและยุโรปภายในปลายปีนี้ในราคาเริ่มต้นเดือนละ 9.99 เหรียญ และเปิดโอกาสให้คนในครอบครัว (Family Sharing) สามารถเข้าถึงบริการได้ด้วย โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
2.Apple Card ที่ทาง Apple เข้าไปร่วมกับ Goldman Sachs และ Mastercard นำเสนอบัตรเครดิตที่เน้นความโปร่งใส ใช้งานง่าย และที่สำคัญคือปลอดภัย
รวมถึงการนำเสนอระบบคืนเงิน (Dialy Cash) เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร Apple Card ที่ทำงานไม่ต่างจาก Apple Pay (ยังไม่เปิดใช้งานในประเทศไทย) โดยทุกๆ การใช้จ่ายจะได้รับเงินคืน 2% หรือถ้าซื้อสินค้าจากทาง Apple จะได้รับเงินคืน 3%
ส่วนในกลุ่มประเทศที่ยังไม่รองรับการใช้งาน Apple Pay ก็มีทางเลือกให้ในการใช้บัตรเครดิตที่ออกแบบพิเศษสำหรับ Apple Card โดยเฉพาะ ซึ่งทุกๆ การใช้จ่ายจะได้รับเงินคืน 1% เข้าระบบเช่นเดียวกัน
3.Apple Arcade ถือเป็นบริการเล่นเกมแบบบอกรับสมาชิก (Subscribtion) แรกที่เกิดขึ้นให้ใช้งานทั้งบน iPhone iPad Mac ไปจนถึง Apple TV เพื่อให้ผู้ที่สมัครสมาชิกเข้าถึงเกมที่อยู่บนแพลตฟอร์มนี้กว่า 100 เกม ได้ทั้งหมด
เบื้องต้น Apple Arcade จะเริ่มให้บริการครอบคลุมกว่า 150 ประเทศ ในช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน ซึ่งรวมถึงการให้บริการในไทยด้วย ขณะเดียวกันยังไม่มีการเปิดเผยค่าบริการออกมาแต่อย่างใด
4.บริการบอกรับสมาชิก Apple TV+ ที่ในแอป Apple TV ได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อนำเสนอรูปแบบการเข้าถึงรายการทีวี ภาพยนตร์ และซีรีส์ ให้ง่ายขึ้น โดยสามารถควบคุมได้ผ่านรีโมตของ Apple TV
โดยจุดที่น่าสนใจคือจากในแอป Apple TV ผู้ใช้สามารถเข้าไปสมัครบริการบอกรับสมาชิกในการเลือกช่องที่ต้องการรับชมไม่ว่าจะเป็น Amazon Hulu HBO Showtime ได้ทันที
แอป Apple TV จะเริ่มให้บริการในช่วงเดือนพฤษภาคม และมีแผนที่จะนำแอป Apple TV มาให้บริการใน Mac ช่วงเดือนกันยายนนี้ เช่นเดียวกับการร่วมมือกับผู้ผลิตทีวีทั้ง Samsung LG Sony และ VIZIO
โดยจะเริ่มให้บริการก่อนใน 100 ประเทศทั่วโลก พร้อมกับยืนยันว่าข้อมูลการรับชมภาพยนตร์ และซีรีส์ต่างๆ จะไม่ถูกแชร์ให้แก่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สำหรับ Event ครั้งถัดไปในช่วงกลางปี Apple ได้ประกาศแล้วว่า จะจัดงาน Worldwide Developers Conference หรือ WWDC 2019 ในระหว่างวันที่ 3-7 มิถุนายนในเมืองซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
อ้างอิง : https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9620000029921