วอลโว่ ประกาศความสำเร็จหลังมียอดจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลกในปี 2018 มากถึง 642,253 คัน ซึ่งทุบสถิติยอดขายสูงสุดในรอบ 5 ปี (เพิ่มขึ้น 12.4% จากปี 2017) ซึ่งสอดคล้องกับ วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) ที่ได้กระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าในปีที่ผ่านมา ด้วยยอดจำหน่ายถึง 1,292 คัน (เพิ่มขึ้น 13% จากปี 2017) โดยวอลโว่มีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์หรูระดับพรีเมียมในประเทศสูงถึง 4.2% โดยมียอดขายเติบโตสูงขึ้นถึง 50% ต่อเนื่อง 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 2016 – 2018) พร้อมนำเสนอรถยนต์วอลโว่รุ่น All New XC40 ซึ่งวอลโว่ ประเทศไทย จัดงานเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จสูงสุด โดยรุ่นที่ขายดีที่สุดได้แก่ XC60, XC90 และ S90
มร.คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด คาดว่าวอลโว่จะประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในปี 2019 โดยกล่าวว่า “วอลโว่นำเสนอเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้ผู้คนใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและง่ายดายยิ่งขึ้น ซึ่งแนวคิดการให้ความสำคัญกับผู้คนเป็นอันดับแรก ทำให้วอลโว่แตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น และสิ่งนี้ยังถือเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ทุกคันที่เราผลิต วิสัยทัศน์ของเราคือการเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียมที่มีความล้ำหน้าและเป็นที่นิยมสูงสุด ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและเติมเต็มชีวิตได้มากยิ่งขึ้น เพราะเทคโนโลยีควรเป็นสิ่งที่ตอบสนองความต้องการ ส่งเสริมการใช้ชีวิต และมอบความรื่นรมย์ให้แก่มนุษย์เรา”
บริการเชื่อมต่อและแอปพลิเคชั่นออนไลน์ในรถยนต์
วอลโว่ นำเสนอ “บริการเชื่อมต่อออนไลน์” เพื่อให้ผู้ขับสามารถควบคุมรถยนต์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผ่านการใช้งานอินเตอร์เฟซบนหน้าจอทัชสกรีน การคิดคำนวณตรรกะขั้นสูง และความง่ายในการใช้งาน ตลอดจนฟีเจอร์การควบคุมด้วยเสียงและการทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนทั้งบนระบบ CarPlay และ Android Auto ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้นักขับสามารถควบคุมรถของตนเองได้ตลอดเวลา สามารถเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลรอบตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติไปพร้อมกับการสื่อสารกับรถยนต์วอลโว่ของคุณ อินเตอร์เฟซอัจฉริยะที่ตอบสนองได้อย่างฉับไวทำให้คุณควบคุมการทำงานต่าง ๆ ได้ดังใจโดยไม่เสียสมาธิในการขับขี่ ระบบยังช่วยจองบริการตรวจเช็กและซ่อมบำรุงรถยนต์ได้เมื่อถึงเวลาที่กำหนด
นวัตกรรมช่วยเหลือการขับขี่
วอลโว่ใส่ใจปัญหาความปลอดภัยบนท้องถนนและมุ่งมั่นแก้ไข ผ่านการให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นอันดับแรก เพราะวอลโว่ไม่เคยหยุดคิดค้นนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทที่กล่าวว่า “ต้องไม่มีใครเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสในรถยนต์วอลโว่รุ่นใหม่ภายในปี 2020” เพราะความปลอดภันคือคุณค่าหลักในการทำงานของวอลโว่ บริษัทคือผู้นำในด้านนี้มาโดยตลอดและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือความครอบคลุมที่กว้างขึ้นของเทคโนโลยีที่เราพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อการยกระดับประสบการณ์และความปลอดภัยในการขับขี่ของลูกค้า อีกหนึ่งเทคโนโลยีบนแนวคิดนี้ของวอลโว่คือ “City Safety” ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถขับขี่ในสภาพการจราจรที่คับคั่งของเมืองใหญ่ได้อย่างมั่นใจ เสมือนเพื่อนร่วมทางที่สมบูรณ์แบบซึ่งช่วยหลีกลี่ยงอุบัติเหตุในยามขับขี่ด้วยความเร็วต่ำซึ่งต้องเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ สลับหยุดนิ่ง โดยมีฟังก์ชั่นการทำงานหลักอย่าง Lane Departure Assist (ระบบเตือนเมื่อออกนอกช่องทาง) ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ โดยจะส่งสัญญาณเตือนเมื่อรถยน์วิ่งข้ามช่องทางด้วยความเร็วตั้งแต่ 40-125 ไมล์/ชม. เมื่อรถยนต์ไถลออกนอกช่องทางและไม่มีการเปิดไฟเลี้ยว Lane Keeping Aid (ระบบรักษาช่องทางวิ่ง) จะช่วยหมุนพวงมาลัยให้รถกลับเข้าช่องทางเดิม นอกจากนี้ยังมี Pedestrian Detection (ระบบตรวจจับคนเดินถนน) โซลูชั่นไฮเทคที่ช่วยหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุด้วยการตรวจจับคนเดินเท้าและช่วยหยุดรถ หากผู้ขับไม่มีการตอบสนองอย่างทันท่วงที
วอลโว่คือผู้นำด้านความปลอดภัยตลอดมาและจะมุ่งมั่นตลอดไป
วอลโว่ภาคภูมิใจในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมความปลอดภัย หนึ่งในนวัตกรรมของเราคือเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ซึ่งวอลโว่นำเสนอสู่ตลาดยานยนต์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1959 และได้มอบความปลอดภัยให้แก่ผู้คนมาแล้วมากกว่า 1 ล้านชีวิตทั่วโลกทั้งในรถยนต์วอลโว่และรถยนต์แบรนด์อื่น ๆ เนื่องจากวอลโว่ได้แบ่งปันการคิดค้นนี้แก่ผู้ผลิตรายอื่น ๆ เพื่อร่วมกันยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะ วอลโว่ คาร์ ให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าทางสังคมมากกว่าผลประโยชน์ทางการเงิน และมุ่งสร้างความเท่าเทียมด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและความปลอดภัยในอุตสาหกรรมรถยนต์
วอลโว่ใส่ใจในลูกค้า โดยต้องการลดระยะเวลาในการเข้ารับบริการซ่อมบำรุง และทำให้การรอคอยทุกครั้งคุ้มค่ามากที่สุด
ประสบการณ์ชั้นเลิศภายใต้แนวคิด Volvo Retail Experience (VRE) ในประเทศไทย
วอลโว่กำหนดนิยามใหม่ของประสบการณ์ที่ลูกค้าควรจะได้รับเมื่อมาเยือนโชว์รูม ด้วยการนำเสนอการต้อนรับที่อบอุ่นและหรูหรารูปแบบใหม่ในสไตล์สวีดิชภายใต้แนวคิด “Volvo Retail Experience (VRE)” โดยเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก ภายในบรรยากาศที่เปิดโล่งโปร่งสบายแบบสแกนดิเนเวียน ตามสโลแกน “Cool on the outside, warm on the inside”
แนวคิดการต้อนรับรูปแบบนี้ เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนที่ผ่านมา ณ เวิร์นส์ ออโตโมทีฟ กรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบัน ลูกค้าสามารถสัมผัสถึงประสบการณ์ใหม่ในแบบ VRE นี้ได้ทั้งที่โชว์รูม เมอร์ค ออโต้ กรุงเทพฯ, สแกนดิเนเวียน ออโต้ กรุงเทพฯ, จีที ออโต้ กรุงเทพฯ, สต๊อกโฮล์ม ออโต้ ภูเก็ต, และ สวีเดน ออโต้ เชียงใหม่ โดยโชว์รูมแนวคิด VRE นี้จะครอบคลุมถึง เอ็มดับบลิว วัน ออโต้ กรุงเทพฯ และ ฮอร์ริซอน ออโต้ หาดใหญ่ ในเดือนพฤษภาคม 2019 และภายในสิ้นปีนี้ แนวคิด VRE จะครอบคลุมถึงโชว์รูม เวิร์นส์ ออโต้ ลาดพร้าว, สแกนดิเนเวียน ออโต้ สาขาบางนาและสาขาขอนแก่น
แนวคิดโชว์รูมจำหน่ายรถยนต์รูปแบบนี้ ถูกคิดค้นเพื่อช่วยให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายในบรรยากาศที่เป็นกันเองและให้ความเคารพต่อเวลาของลูกค้าอย่างมาก โดยบริการซ่อมบำรุงมาตรฐานส่วนใหญ่จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 30 นาที ผ่านบริการแบบ Volvo Personal Service ของเรา พื้นที่โชว์รูมจะถูกเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นห้องนั่งเล่นที่แสนสบาย ให้ลูกค้าสามารถผ่อนคลายบนเฟอร์นิเจอร์แบบสแกนดิเนเวียน พร้อมบริการเครื่องดื่มชากาแฟและสัญญาณ Wi-Fi ฟรี โดยโซนด้านหน้าที่หันออกสู่ถนนถูกกำหนดเป็นส่วนจัดแสดงรถยนต์รุ่นใหม่ที่ให้ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจมากกว่า การปรับปรุงเพื่อให้ความสำคัญกับความสบายของลูกค้าครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของวอลโว่ที่ต้องการให้ลูกค้าที่มารับบริการหลังการขายได้รอคอยอย่างสบายใจ ในขณะที่รถยนต์ของพวกเขาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด
ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
วอลโว่พยายามสร้างสรรค์สังคมที่ดีกว่า รวมถึงปกป้องผู้คนและสิ่งแวดล้อม ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนนในอุตสาหกรรมรถยนต์ร่วมกับองค์กรทั้งในระดับประเทศและระดับสากล เราได้จัดกิจกรรมการทำความสะอาดชายหาดที่บางแสนในปี 2017 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 200 คน และสามารถเก็บขยะพลาสติกได้มากถึง 1 ตันภายในเวลา 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ สำนักงานวอลโว่ประเทศไทยยังงดการใช้วัสดุพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เรายังมีเป้าหมายที่จะใช้พลาสติกรีไซเคิลอย่างน้อย 25% ในการผลิตรถยนต์วอลโว่ภายในปี 2025 ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ได้พยายามค้นหาแนวทางที่จะทำให้ลูกค้าชาวไทยเปลี่ยนมาใช้รถยนต์แบบ Plug-in hybrid vehicles (PHEV) ซึ่งมีการใช้น้ำมันดีเซลและเบนซินราวอย่างละครึ่ง ดังนั้น ในปี 2018 กว่า 80% ของรถยนต์ที่จำหน่ายไปทั้งรุ่น XC90, S90, XC60 ล้วนเป็นรถยนต์แบบ PHEV ซึ่งมีส่วนช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกทางหนึ่ง
ความปลอดภัยบนท้องถนน
วอลโว่สร้างชื่อเสียงมาอย่างยาวนานด้านความปลอดภัยในอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลก ผ่านการพิจารณาแนวทางเชิงโครงสร้างในกิจกรรมของผู้คนท้องถิ่นซึ่งอาจสร้างประโยชน์ที่แท้จริงสู่สังคมได้ จนเกิดเป็นคติพจน์ที่เรียบง่ายว่า “ทัศนวิสัยกว้างไกลและง่ายต่อการมองเห็น (See and be Seen)” เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนของเมืองไทย และรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นแนวหน้าของการรณรงค์ในเรื่องนี้ โดยเราจะเป็นผู้นำและปฏิบัติงานอย่างดีที่สุด เพื่อยกระดับมาตรฐานในแนวทางต่าง ๆ ที่เราสามารถทำได้
การทำงานในขั้นแรกของการรณรงค์ด้านความปลอดภัยบนท้องถนนที่มุ่งมั่นและยั่งยืนของวอลโว่ คือการบริจาคเสื้อนิรภัยคุณภาพสูงรวมจำนวน 10,000 ชุดให้แก่เด็กนักเรียนที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ นอกจากนี้ เด็กนักเรียนยังได้เรียนรู้ถึงการปลูกมะนาว เพื่อให้พวกเขาได้นำผลผลิตออกจำหน่ายและเรียนรู้ทักษะด้านการทำธุรกิจพื้นฐานด้วยตนเอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Schook-BIRD Program เพื่อการยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนของของเด็กนักเรียนและครอบครัวในชุมชน ซึ่งวอลโว่ยังคงทำงานร่วมกับองค์กรชั้นนำในการวางแผนทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องตราบจนทุกวันนี้
แผนการในปี 2019 และต่อจากนี้
วอลโว่เริ่มต้นไตรมาสแรกของปีนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมตั้งเป้าเติบโตเพิ่มอีก 50% ในปี 2019 นี้ โดยในวันที่ 8 พฤษภาคม เราจะเปิดตัวแคมเปญ The Volvo Way: Freedom to Experience รวมถึงในไตรมาสที่ 3-4 จะนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ของวอลโว่อีกรุ่น โดยเราจะทำงานร่วมกับบริษัทผู้แทนของเราต่อไป เพื่อยกระดับความปลอดภัยและเริ่มโครงการรถยนต์เก่า “Selekt” เพื่อให้ครอบคลุมผู้ค้าปลีกและลูกค้าของเราในวงกว้างยิ่งขึ้น หากนี่ยังมิใช่ทั้งหมดของแผนการเติบโตของเรา เพราะเราต้องการเติบโตอย่างรับผิดชอบ ดังนั้น แนวคิดเรื่องความยั่งยืนจึงยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินงานของเราทุกด้านต่อไป