ข้อมูลจาก SCB EIC ระบุว่า ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา Smart Wearable ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น สังเกตได้จากยอดขายในประเทศไทยที่สูงขึ้นเฉลี่ย 23% ต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มอุปกรณ์ประเภทเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีการพัฒนาในเรื่องของความแม่นยํา ประสิทธิภาพ รวมไปถึงความหลากหลายทั้งในด้านรูปแบบสินค้า และค่าที่วัดได้
จากการคาดการณ์ของ IDC สถาบันวิจัยด้านการตลาดของสหรัฐฯ ระบุว่า จํานวนการขายอุปกรณ์ Smart Wearable ทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ยสะสมถึง 11.6% ต่อปี จาก 123 ล้านชิ้นในปี 2018 เป็น 190 ล้านชิ้นในปี 2022
ปัจจัยหลัก 3 ข้อที่ทําให้ตลาด Smart Wearable เติบโต ได้แก่ 1.กระแสใส่ใจสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้น, 2.การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และ 3.การลงทุนข้ามอุตสาหกรรมของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนําของโลก ในธุรกิจอุปกรณ์ Smart Wearable
หนึ่งในผู้เล่นหลักในตลาด Smart Wearable ของโลกคือ Fitbit (ฟิตบิท) ที่ผ่านมาสามารถขายสินค้ารวมกันแล้ว 90 ล้านชิ้น มีส่วนแบ่งตลาด Smart Watch เป็นเบอร์ 2 ในสหรัฐอเมริกา โดยมีวางจำหน่ายในร้านค้าปลีกกว่า 39,000 แห่งใน 87 ประเทศทั่วโลก
เมื่อเดือนกุมภาพันที่ผ่านมา Fitbit เพิ่งประกาศรายได้ของปี 2018 คิดเป็นตัวเลขทั้งสิ้น 1,500 ล้านเหรีญสหรัฐ ในจำนวนนี้มีรายได้จากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 167 ล้านเหรีญสหรัฐ เติบโต 37% ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่มีนัยสำคัญของ Fitbit
Fitbit ระบุว่า ตัวเองไม่ใช่แค่บริษัทอุปกรณ์ แต่ยังมีข้อมูลมหาศาลที่สามารถนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ 181 พันล้านชั่วโมง, การเดิน 175 ล้านล้านก้าว, ข้อมูลการนอน 9 พันล้านคืน, การออกกำลังาน 457 พันล้านนาที และผู้หญิง 8.1 ล้านคนใช้เก็บข้อมูลเพื่อสุขภาพ
หลุย ไล ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน Fitbit กล่าวว่า
“Fitbit อยากเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ใช่ใช้มาก่อน ซึ่งจะเกิดขึ้นด้วยองค์ประกอบ 4 ข้อหลักได้แก่ แบรนดิ้ง รูปลักษณ์การออกแบบ การใช้งานที่สะดวก ราคาที่เข้าถึงและจับต้องได้”
กลายเป็นที่มาของการเปิดตัวสินค้าใหม่ 4 รุ่น ได้แก่
1. Fitbit Versa Lite Edition จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบออกกำลังกาย ชูโหมดเพื่อการออกกำลังกายกว่า 15 แบบ แบตเตอรี่ใช้งานได้นานกว่า 4 วัน รวมถึงฟีเจอร์การติดตามอัตราการเต้นของหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง ราคา 6,690 บาท ถือเป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นที่มีราคาจับต้องได้มากที่สุดของ Fitbit
2. Fitbit Inspire HR เจาะกลุ่มผู้เริ่มใช้อุปกรณ์แวร์เอเบิล และอยากทดลองแทรคเกอร์ที่ราคาไม่แพงและง่ายต่อการใช้งาน ชูจุดเด่นติดตามอัตราการเต้นของหัวใจได้ตลอดทั้งวัน และเป็นแทรคเกอร์ที่มีราคาที่เข้าถึงได้มากที่สุดของฟิตบิท ในราคา 3,790 บาท
3. Fitbit Inspire รุ่นที่เล็กลงมา ต่างตรงไม่มีการวัดอัตราเต้นหัวใจ แต่ที่เหลือเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า มาในราคา 2,890 บาท
4. Fitbit Ace 2™ เป็นฟิตเนสแทรกเกอร์สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 – 13 ปี หลักๆ กันน้ำได้ มีกรอบกันกระแทก กันน้ำได้ จะเริ่มวางขายในไตรมาส 2
อย่างไรก็ตาม ในปี 2019 “หลุย” บอกว่า Fitbit ให้ความสนใจกับธุรกิจ Health Care กับมากขึ้น เพราะมองว่าข้อมูลที่อยู่ในมือสามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้ โดยนำไปร่วมมือกับรัฐบาล บริษัทประกัน หรือโรงพยายาบาลต่างๆ ในการติดตามสุขภาพของผู้ใช้งาน เช่น บริษัทประกันสามารถนำพฤติกรรมไปประเมินอันตรการจ่ายเงินประสุขภาพได้
ในสหรัฐอเมริกามีบริษัทประมาณ 3 รายแล้วที่นำข้อมูลไปประกอบ ส่วนในไทยกำลังคุยกับบริษัทประกันหลายๆ แห่งอยู่ ในภาพรวมทั่วโลก Fitbit ตั้งเป้ารายได้จากกลุ่ม Health Care 100 ล้านเหรียญสหรัฐ.