#ยืนหนึ่งในคานส์จริงหรือ? ถอดกรณีศึกษา ทำไม L’Oréal เลือก “ชมพู่-อารยา” เดินพรมแดง 7 ปีติดต่อกัน

“1,320 ก้าวบนพรมแดงที่ไม่ใช่แค่การเดิน แต่เป็นการทำให้รู้ว่าชมทำได้ 2,680 ภาพถ่ายที่ไม่ใช่แค่การชัตเตอร์ แต่เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ 19 ลุคที่ไม่ใช่แค่สไตล์ แต่เป็นการกำหนดเทรนด์ให้กับโลก 6 ปีกับความสำเร็จที่ไม่ได้มาจากแค่รอโชคชะตา แต่เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจเป้าหมายที่จะทำให้ดีขึ้นทุกปี ไม่ต้องให้มีใครมาบอกแต่ออกมาจากตัวเอง

นี่คือคำโปรโมตที่ปรากฏอยู่บนคลิปวิดีโอที่ชมพู่อารยา เอฮาร์เก็ต โพสต์ลงบน Instagram (@chomismaterialgirl) ก่อนที่เธอกำลังจะไปเดินพรมแดงของเทศกาลหนังเมืองคานส์เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน ในฐานะ Spokesperson ของ L’Oréal Paris Thailand โดยปีนี้จะเดินในวันที่ 16 และ 17 พฤษภาคม และจะเดินทางออกจากประเทศไทยช่วงดึกของวันที่ 14 พฤษภาคม

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

ยืนหนึ่งได้ ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ I build my own empire. Because I’m worth it. #Worthit #ยืนหนึ่งในคานส์ #LorealMakeup

โพสต์ที่แชร์โดย Araya Alberta Hargate (@chomismaterialgirl) เมื่อ

กลายเป็นคำถามประจำในช่วงเวลานี้ของปีว่าทำไมชมพู่ต้องไป? ไปแล้วได้อะไร เกี่ยวอะไรกับงานเทศกาลภาพยนตร์เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก คานส์ อินเตอร์เนชันแนลฟิล์ม เฟสติวัลแล้วนี่ไป 7 ปีติดต่อกันแล้วไม่เบื่อบ้างหรอ?

Positioning จึงหยิบเอาคำถามนี้ไปถามกับ วิลาสินี ภาณุรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด สินค้าเมคอัพ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเธอบอกว่า จริงๆ L’Oréal ก็ถามตัวเองว่าควรจะใช้ชมพู่กี่ปี แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้มีกฎตายตัวว่าเมื่อไหร่ถึงจะหยุด เพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องของแบรนด์ ในตัวสินค้าและพรีเซ็นเตอร์ ถ้ายังไปด้วยกันได้อยู่ก็ไม่มีปัญหา

อย่างการเลือกใช้ชมพู่ เพราะมองว่าตอบโจทย์ภาพลักษณ์ที่แบรนด์ต้องการสื่อสารมากที่สุด มีความเข้มแข็งแต่ไม่ก้าวร้าว เป็นตัวของตัวเอง มีความมั่นใจ รู้ว่าต้องการอะไรก็สู้ไปให้ถึงเป้าหมาย เป็นเรื่องของ Empowerment ซึ่งชมพู่เป็นเพียงไม่กี่คนที่ตรงกับโจทย์มาก

และด้วยความที่เป็นเบอร์ 1 ในตลาดเมคอัพโลก จึงต้องเซตเมคอัพเทรนด์อยู่ตลอดเวลา และชมพู่ก็เป็นผู้นำในเรื่องบิวตี้และแฟชั่น เลยเป็นเรื่องของการผสมผสานที่ลงตัวมาก

วิลาสินี ภาณุรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดสินค้าเมคอัพ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย)จำกัด

เปลี่ยนคนเดินใหม่ไม่ง่ายขนาดนั้น?

หากการใช้ติดต่อกันนานๆ ก็กลายเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับ L’Oréal อยู่เหมือนกัน เพราะกระแสจะดีมากๆ ในช่วงปีที่ 1-4 แต่พอปีที่ 5 จะมีเสียงเข้ามาตลอดเวลา ซึ่งชมพู่เองก็ทราบ เพราะหลายคนถามว่า เปลี่ยนคนไหม ยิ่งพอชมพู่มีครอบครัว มีลูก หลายคนก็รู้สึกว่าจบแล้ว ไปต่อไม่ได้แล้ว

L’Oréal ยอมรับว่าคำนึงถึงเรื่องนี้ เพราะต้องหามุมมองใหม่ๆให้คนไทยไม่เบื่อและยังติดตามอยู่ง่ายที่สุดคือการเปลี่ยนคนเดิน ซึ่งจะสร้างความตื่นเต้นว่าคนใหม่ที่ไปจะเดิน แต่งตัวแต่งหน้าอย่างไร? แต่ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

วิลาสินี อธิบายว่าก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับคำถามที่ว่าคานส์ใครไปเดินก็ได้หรือเปล่า? คำตอบมีทั้งใช่และไม่ใช่ ส่วนที่ใช่ คือถ้าอยากไปดูหนังหากมีตั๋ว ก็สามารถเดินผ่านพรมแดงได้อยู่แล้ว ดังนั้นจะเป็นใครก็ได้

แต่สิ่งที่ L’Oréal สามารถทำได้แบรนด์เดียว ด้วยเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของงาน ซึ่งเป็นต่อเนื่องมา 22 ปีแล้ว และ L’Oréal ไม่ใช่แบรนด์เล็กๆ โดยเป็นแบรนด์เบอร์หนึ่งธุรกิจความงามระดับโลกจากฝรั่งเศสที่มีอายุกว่า 100 ปีมีพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ความงามในมือ 36 แบรนด์ ทำยอดขายทั่วโลกถึง 1 ล้านล้านบาท

Source : Instagram @chomismaterialgirl

L’Oréal จึงถือว่างานคานส์เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่สามารถโชว์เทรนด์แต่งหน้าได้มากที่สุด เพราะเป็นเพียงแบรนด์เดียว ณ ช่วงเวลานั้นที่สามารถทำได้ ซึ่งนอกจากการไปตั้งป็อปอัพหน้าโรงแรม เพื่อโชว์เครื่องสำอางและแต่งหน้าให้กับนักแสดงในงานแถลงข่าวแล้ว

หากช่วงเวลาที่มีคนสนใจมากที่สุด คือการเดินบนพรมแดง ซึ่งช่วงเวลา 2-3 นาทีมีค่าเป็นอย่างมาก เพราะจะมีเสียงเรียกถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจากสถิติพบว่ามีนักข่าวลงทะเบียนกว่า 5,000 คน L’Oréal จึงสามารถโชว์การแต่งหน้าผ่าน Spokesperson ที่เลือกไว้แล้วได้อย่างเต็มที่

จึงต้องทำความเข้าใจว่าคานส์สำหรับ L’Oréal ไม่ใช่ว่าใครไปก็ได้ ด้วยความพิเศษแบบนี้จึงต้องมั่นใจได้ว่า ตัวแทนของแบรนด์ ต้องเป็นคนพิเศษเพียงพอที่จะสามารถเล่าเรื่องที่แบรนด์ต้องการจะสื่อสาร ให้กับทั้งคนไทยและคนที่คานส์ได้รับรู้

ขณะเดียวกันสิ่งที่หลายคนไม่รู้ คือ การที่ชมพู่จะมีการสัมภาษณ์จากสื่อประเทศต่างๆ ตลอดเวลา ดังนั้นนอกจากคนที่ไปจะสามารถสื่อสารอย่างที่แบรนด์ต้องการแล้ว จึงต้องเป็นคนแข็งแรงและทำการบ้านมาเพียงพอ สำหรับการถูกสัมภาษณ์ด้วย และช่วงเวลานั้นแบรนด์ไม่สามารถเข้าไปช่วยดูได้

Source : Instagram @chomismaterialgirl

กว่าที่จะไปเดินได้ ไม่ใช่แค่เมืองไทย Approve แค่ L’Oréal Global ก็ต้อง Approve ให้ด้วย เพราะถือเป็นตัวแทนของแบรนด์ ซึ่งว่าจะได้ใครสักคนต้องผ่านมาสัมภาษณ์หลายขั้นตอน ฉะนั้นการจะเปลี่ยนคนเดินไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ณ วันนี้

สำหรับเมืองไทยถือเป็นหนึ่งใน 3 ประเทศในเอเชีย ที่ร่วมกับประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและอินเดียที่มี Spokesperson ไปเดิน ซึ่งจะว่าไปก็ไม่แปลกใจมากนั้น เพราะถ้าเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลาดความงามไทยใหญ่ที่สุด โดยปี 2018 เติบโต 7.31% มีมูลค่ากว่า 1.92 แสนล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่เติบโตต่อเนื่องที่ราว 7% มากว่า 5 ปี

6 ปีกับโจทย์ที่ยากมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม วิลาสินีบอกว่า L’Oréal ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นทุกปีที่ทำงานคานส์ ถึงจะทำมา 6 ปีจนอาจจะบอกว่าหลับตาทำได้แล้ว หากจริงๆ ก็ไม่ง่ายขนาดนั้น ปีแรกต้องทำให้คนรู้จักและสนใจงานกลายเป็นง่ายที่สุดแล้ว ด้วยถือเป็นเรื่องใหม่และยังไม่มีใครรู้จัก

แต่ปีถัดๆ มายากมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะต้องทำให้คนสนใจตื่นเต้นและอยากติดตามอยู่ ด้วยงานเป็นที่รู้จักแล้วดังนั้นจึงต้องเตรียมงานตั้งแต่เดือนมกราคม เอาบทเรียนของปีที่แล้วมาปรับปรุง เนื่องจากตลอดระยะเวลา 1 อาทิตย์ที่อยู่คานส์ทุกนาทีมีค่าที่ต้องเปลี่ยนเป็น Media Value ให้มากที่สุด

การเดินพรมแดงในปี 2015 Source : L’Officiel

สิ่งที่แบรนด์ต้องการแสดงให้เห็นคือนอกเหนือจากพรมแดง 3 นาที ยังมีมากกว่านั้น ทุกๆ ปีที่ผ่านมาตอนที่ชมพู่อยู่ที่งาน L’Oréal ก็จะมีการปล่อยภาพอยู่ตลอดว่าชมพู่กำลังทำอะไรอยู่ โดยจับมือกับนิตยสาร L’Officiel และหลังจากเดินพรมแดงเสร็จ ก็จะมีการปล่อยรายละเอียดของเครื่องสำอางที่ชมพู่ใช้ในการแต่งหน้า

สำหรับตัวชมพู่แล้วในโลกของแฟชั่นและความงาม เธอเป็นผู้หนึ่งที่ยังทรงอิทธิพลอย่างมาก เพราะไม่ว่าเธอจะขยับตัวทำอะไร ทุกลุคในการแต่งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็จะได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเคยมีกรณีหนึ่งที่เธอใส่รองเท้าผ้าใบไปขึ้นเครื่อง ปรากฏว่าวันถัดมามีรองเท้าขายดีขาดตลาดไปเลย

สำหรับในปีสิ่งที่เปลี่ยนไปกับการทำโปรโมต คือ L’Oréal ชิงสร้างกระแสก่อนใน Social Media โดยใช้ Influencer ในการโปรโมต #ยืนหนึ่งในคานส์ ก่อนที่จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤษภาคมในปีที่ผ่านมา โดยมีการปล่อยภาพชมพู่กับเครื่องสำอางที่เธอจะใช้ในงานแถลง

สาเหตุที่ปีนี้ L’Oréal  ต้องชิงสร้างพื้นที่สื่อออนไลน์ก่อนที่จะไปเพราะ L’Oréal เองก็รู้ว่า หากไม่หล่อเลี้ยงกระแสในโลกออนไลน์ต่อเนื่อง ก็อาจจะไม่มีคนสนใจมากเท่าที่หวัง เพราะโลกออนไลน์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเร็วมาก จนผู้คนไม่ได้โฟกัสที่อย่างใดอย่างหนึ่งอีกต่อไปแล้ว

Source : Instagram @chomismaterialgirl

เซเลบตัวแม่ยัง Effective

ขณะเดียวกันหากมองในมุมการสื่อสารของแบรนด์ L’Oréal ที่เลือก ชมพู่ อารยา เป็น Spokesperson เดินพรมแดงต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ที่ต้องบอกว่าชมพู่ยังยืนหนึ่งได้สมศักดิ์ศรี เซเลบตัวแม่ แม้การปรากฏโฉมเรียกเสียงแฟลชในลุคต่างๆ ของชมพู่ในมุมของผู้ชมไทยความตื่นเต้นกับอีเวนต์พรมแดงเมืองคานส์ อาจไม่มากเท่าปีแรกๆ เพราะมีคอนเทนต์ใหม่ๆ มาดึงความสนใจตลอดเวลา

อนุพงศ์ จันทร กรรมการผู้จัดการบริษัท วายดีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด ดิจิทัล เอเยนซี มองว่า แม้ว่าชมพู่จะไม่สามารถดึงความสนใจได้มากเท่าปีแรกๆเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์มีความสนใจกับเรื่องใหม่ๆ ตลอดเวลา

แต่ในฐานะที่ชมพู่เป็น Spokesperson ให้กับแบรนด์ L’Oréal การปรากฏโฉมบนพรมแดงเมืองคานส์เวทีระดับโลกเพียงไม่กี่นาทียังเป็นสิ่งที่ได้ผลดีสำหรับแบรนด์ โดย แบรนด์ใหญ่ ต้องทำต่อเนื่องเพื่อ Maintain Awareness, Brand Image และ Brand Reputation

Source : L’Officiel

และก็ต้องบอกว่าตัวแม่อย่างชมพู่ที่มีผู้ติดตาม Instagram กว่า 8.5 ล้านยังคงเป็น Brand Ambassador ที่ Effective ได้ดีในแง่สร้างการรับรู้แบรนด์

ยังไม่เห็นใครที่จะมาทำหน้าที่แทนชมพู่ได้ เพราะต้องถือว่าเธอมี Brand Image ที่ดี “ดูแพง” – “ไฮเอนด์” และเป็น “คุณแม่” เรียกว่าปัจจุบันยังไม่มีใครขึ้นมาได้ระดับนี้

กิจกรรมเดินพรมแดงเมืองคานส์ของชมพู่ ถือเป็นภาพที่จุดกระแสสนใจที่แสดงถึงความเป็น อินเตอร์ ระดับโลกสิ่งที่แบรนด์ทำต่อคือ กลยุทธ์การสื่อสารจากการเกาะกระแสภาพเดินพรมแดงในลุคต่างๆ ของชมพู่ด้วยการสร้าง Communication เพื่อโปรโมตต่อ ไม่ว่าชุดที่ใส่ เมคอัพต่างๆ ที่ใช้แต่งหน้า

จังหวะที่ชมพู่เดินพรมแดงคานส์ให้แบรนด์ L’Oréal สิ่งแรกที่ได้คือกระแส จากนั้นจะเห็นคลิปชมพู่ใช้ผลิตภัณฑ์ L’Oréal แต่งหน้า ตามด้วยโฆษณาผลิตภัณฑ์และช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์ กระบวนการสื่อสารเหมือนกับเอเยนซีทำแคมเปญให้แบรนด์ต่างๆ ที่เริ่มตั้งแต่โฆษณาไปถึงปิดการขาย

แม้ L’Oréal เป็นแบรนด์ระดับโลกอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องทำเหมือนกันคือการ Maintain Awareness ให้อยู่ในใจผู้บริโภคให้ได้ตลอดเวลา เพราะไม่เช่นนั้นหากมีแบรนด์อื่นมาแย่งชิงพื้นที่ในเวทีคานส์ L’Oréal อาจจะเสียโอกาสในจังหวะนี้ๆ ไปได้